จีเอเบิล กำลังเดินหน้าสู่ New S-Curve รับศึกษาพันธมิตร - เร่งแผนต่อยอดผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น


บมจ.จีเอเบิล (GABLE) ผู้นำ “Tech Enabler” ที่ให้บริการด้าน Digital Transformation แบบครบวงจร พร้อมลุยสร้าง S-Curve ให้ธุรกิจ เดินหน้าพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม และอยู่ระหว่างศึกษาพันธมิตรเพื่อเข้าไปลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รองรับการขยายธุรกิจในหลากหลายมิติและสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ GABLE กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมเคลื่อนทัพลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ตามวัตถุประสงค์การระดมทุนที่วางไว้ โดยจะมุ่งเน้นบริษัทที่มีกรรมสิทธิ์ในเทคโนโลยีแพลตฟอร์มของตนเอง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว และการเติบโตแบบ Inorganic Growthปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และการตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) ของบริษัทเป้าหมายที่ต้องการจะลงทุนเพื่อสร้าง Synergy ในการเติบโต รวมทั้งการรุกธุรกิจ Tech Consult เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบครบวงจร และจะเป็น Growth Engine ทำให้จีเอเบิลเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัด จึงอยากให้นักลงทุนทุกท่านติดตาม S-Curve ต่อไปของจีเอเบิล ซึ่งเราจะมุ่งเน้นธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว พร้อมกับก้าวไปสู่เป้าหมาย การเป็นบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลอันดับ ในประเทศ

สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้จีเอเบิลเติบโตตามกลยุทธ์ที่วางไว้ เราภูมิใจที่ได้นำเทคโนโลยีเข้าไปสนับสนุนลูกค้าองค์กรให้สามารถสร้างแผนการเติบโตและต่อยอดทางธุรกิจได้อย่างไม่มีขีดจำกัด และเทคโนโลยีของเราเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยสร้างสรรค์เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ทำให้จีเอเบิลได้รับความไว้วางใจ สร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งต่อเนื่องมากกว่า 33 ปี 

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในการเข้ามาซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งได้แก่ กลุ่มลิ่วเจริญ กลุ่มเอื้อวัฒนสกุล กลุ่มชันซื่อ และกลุ่มพันธุมวนิช และผู้ถือหุ้นเดิมบางส่วน ยังได้สมัครใจทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นในส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์เป็นเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเมื่อนับรวมกับหุ้นที่ถูกติดSilent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แล้ว รวมเป็นจำนวนกว่าร้อยละ 71.84 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ



นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า 
จีเอเบิล มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ถือเป็น Big Player ในวงการไอทีของไทยมานานกว่า 33 ปี มีทีมผู้บริหาร และพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญ ตลอดจนผลการดำเนินงานที่ผ่านมาสามารถเติบโต และมีธุรกิจที่จะเป็น New Growth Engine ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาและเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองขับเคลื่อน 

จีเอเบิลอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัว และมีการลงทุนสูง โดยภาพรวมอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ทั้งอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัล ยังคงเห็นการเติบโตต่อเนื่องทุกปี จากการให้ความสำคัญขององค์กรต่างๆ ในการลงทุนด้านเทคโนโลยี จึงส่งผลดีต่อธุรกิจของจีเอเบิล ซึ่งไม่ใช่เพียงบริษัทSystem Integrator ทั่วไป แต่เป็นผู้นำการให้บริการด้าน Digital Transformation ที่ครบวงจร มีจุดได้เปรียบในด้านประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน มีจำนวนบุคลากรมากกว่า 1,000 ราย สามารถให้บริการปรึกษา และต่อยอดมายังธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มเป็นของตนเอง จะเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อีกมาก ขณะที่ธุรกิจซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มในระหว่างปี 2563-2565 
จีเอเบิลสามารถสร้างอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปี (CAGR) สูงกว่า 32% และมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่สูงถึงกว่า 50% 

นอกจากนี้ จีเอเบิลยังมี Recurring Income อยู่ในระดับสูงราว 51% ในงวดปี 2565 มีรายได้จากการขายและบริการ 4,731 ล้านบาท กำไรสุทธิ 268 ล้านบาท และมี Backlog งานโครงการที่รอส่งมอบสูงราว 4,100 ล้านบาท จึงมองว่า จีเอเบิลจะเป็นอีกหุ้นเทคโนโลยีที่สามารถเติบโตและอยู่ในใจของนักลงทุนในระยะยาวได้

ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของจีเอเบิล ประกอบด้วย 

(1) ธุรกิจให้บริการโซลูชั่นระดับองค์กร (Enterprise Solution and Services) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการทำ Digital Transformation ได้อย่างครบวงจร 

(2) ธุรกิจโซลูชั่นที่เป็นตัวแทนจำหน่ายและสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value-added Distribution) โดยจีเอเบิลเป็นตัวแทนหลักในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชั้นนำต่างๆ อาทิ Oracle และ Veritas 

(3) ธุรกิจบริการซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม (Software Platform) ที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาและเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ของตนเอง ถือเป็น Growth Engine ของบริษัท จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจนี้ และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง