ก.ล.ต. เปิดประตูเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพสู่ตลาดทุนไทย

..จัดสัมมนาสนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพเข้าถึงตลาดทุนและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล “SEC FinTech for SMEs and Startup : Innovation for Financial Inclusion”ปลดล็อคข้อจำกัดนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล และเปิดพื้นที่เจรจาจับคู่ทางธุรกิจสร้างพันธมิตรต่อยอดการเติบโต



นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ประธานกรรมการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...) กล่าวว่า ..ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการพัฒนาเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จึงจัดงานสัมมนา “SEC FinTech for SMEs and Startup : Innovation for Financial Inclusion” ขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ถึงนโยบายและการสนับสนุนของทางการ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านตลาดทุน การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจและปรับตัวให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล รวมถึงการจับคู่ทางธุรกิจ(business matching) เพื่อให้สามารถเติบโตและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัลตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาตลาดทุนไทย


นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ..กล่าวในหัวข้อ..เปิดประตู SMEs และ Startups สู่ตลาดทุนไทยด้วยเทคโนโลยี” ถึงความสำคัญของเอสเอ็มอีต่อระบบเศรษฐกิจไทยและบทบาทของ..ที่จะช่วยเปิดล็อก “ประตู 3 บาน” ได้แก่ การขาดช่องทางเข้าถึงเงินทุน การขาดข้อมูลเรื่องการระดมทุน และการขาดเครื่องมือพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ ซึ่งเป็นข้อจำกัดทำให้เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไม่สามารถเข้าถึงทุนในตลาดทุน ด้วย “กุญแจ 8 ดอก” ประกอบด้วย

(1) งานสัมมนา “SEC FinTech for SMEs and Startup” ที่ทำให้เห็นแนวทางการสนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพของหน่วยงานภาคตลาดทุน และยังเป็นครั้งแรกที่เปิดพื้นที่เจรจาจับคู่ทางธุรกิจเพื่อสร้างพันธมิตรระหว่างเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และผู้ลงทุนที่มีศักยภาพ 

(2) จัดทำแพลตฟอร์มสนับสนุนการระดมทุนสำหรับเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ โดยในระยะแรกจะเป็นการให้ข้อมูล สื่อสาร ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลของเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการระดมทุนได้ง่าย และในระยะต่อไปอาจขยายการดำเนินการไปในส่วนอื่น  ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ของเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ เช่น การจับคู่ทางธุรกิจ การพัฒนาความรู้ชั้นสูงเพื่อเพิ่มทักษะผู้ประกอบการ นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้เกิดเครื่องมือที่ช่วยบริหารและจัดการแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (shared technology solution service) เช่น โปรแกรมระบบบัญชี ระบบภาษี เพื่อยกระดับมาตรฐานการประกอบธุรกิจให้สามารถต่อยอดในตลาดทุนหรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนช่องทางอื่น  ได้ง่ายยิ่งขึ้น

(3) เปิดช่องทางให้เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนด้วยการออกหลักทรัพย์ที่เหมาะสมกับบริบทตามขนาดของกิจการและความต้องการทุน

(4) ทบทวนกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์ผ่านระบบคราวด์ฟันดิง เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับผู้ประกอบธุรกิจในระบบคราวด์ฟันดิง และเพิ่มทางเลือกในการระดมทุน

(5) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของตลาดทุนไทย โดยนำDistributed Ledger Technology (DLT) มาประยุกต์ใช้ เพื่อรองรับกระบวนการสำหรับทุกผลิตภัณฑ์ รวมทั้งรองรับหลักทรัพย์ของเอสเอ็มอี

(6) ลงพื้นที่ให้ความรู้กับเอสเอ็มอีในภูมิภาค เพื่อแนะนำเครื่องมือการระดมทุน และการเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดทุน รวมถึงการเปิดคลินิกให้คำแนะนำ ภายใต้โครงการ “การลงพื้นที่ให้ความรู้สู่ภูมิภาค” และการจัดสัมมนา

(7) จัดให้มี “24/7 Financial Clinic” เพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้ที่สนใจรับข้อมูลสามารถโทรศัพท์ไปยัง Help Center ของ ..ที่เบอร์ 1207  

(8) สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง   และจัดตั้งคณะทำงานเสริมสร้างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กิจการเงินร่วมลงทุน นิติบุคคลร่วมลงทุน สู่ตลาดทุนไทย หรือ คณะทำงาน SME PE VC โดยบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอีก 13 แห่ง


ในงานสัมมนาครั้งนี้ยังมีการเสวนาหัวข้อ “การปลดล็อกศักยภาพSMEs และ Startups ไทยให้เข้าถึงและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล” โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทในตลาดทุนและการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หัวข้อ “อนาคตของการระดมทุน ทางเลือกใหม่ของSMEs และ Startups” โดยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน ผู้ให้บริการระบบคราวด์ฟันดิง และเอสเอ็มอีที่ระดมทุนผ่านหุ้นคราวด์ฟันดิงสำเร็จเป็นรายแรกของประเทศไทย หัวข้อ “ติดอาวุธ SMEs และ Startups ไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี” และการบรรยายเรื่อง The Journey toward Digital Era โดยผู้บริหารบริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำ รวมทั้งการจัดแสดงบูธนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพรวม 27 บูธและภายในงาน ..จัดให้มีการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจประมาณ 15 ราย โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพฯ