PTTGC เผยทิศทางการดำเนินงานในปี 2563 สานต่อ ต่อยอด ปิโตรเคมีสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชนหรือ GC กล่าวถึง ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2563 โดยยึดหลักนโยบาย “สานต่อ ต่อยอด” ผ่านกลยุทธ์ 3 Steps: Step Change-Step Out- Step Up เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตพร้อมดำเนินธุรกิจตามหลักการ “GC Circular Living” ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนโลก ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความยั่งยืน

• Step Change:  สานต่อสร้างบ้านให้แข็งแรง GC Group ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้วยการสานต่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับฐานการผลิตปัจจุบันของบริษัทฯ ที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มPlant Reliability ให้อยู่ในระดับ 1st Quartile และ ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจด้วยการขยายเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำและ High Value Business (HVB) รวมถึงการขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งเดินหน้าโครงการลงทุนต่าง  ตามแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาค 

• Step Outสานต่อการขยายฐานธุรกิจแห่งที่ 2 (Second Home Base) ซึ่งมีศักยภาพในการแข่งขันด้านวัตถุดิบหรือการเติบโตของตลาด อาทิ การศึกษาโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ ที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านวัตถุดิบ (Feedstock) และต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจใหม่  ด้วย Mergers and Acquisitions (M&A) สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด รวมทั้งการประสานการทำงานร่วมกัน (Synergy) ระหว่าง PTT Group

• Step Upสานต่อแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่ง GC ได้ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมให้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันตามแนวคิด GC Circular Living โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อความยั่งยืนสูงสุด และต่อยอดบูรณาการให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกธุรกิจและกระบวนการของบริษัทฯ GC ได้ร่วมกับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนผสานการทำงานร่วมกัน เช่น โครงการคุ้งบางกะเจ้าโมเดล โครงการเชียงรายโมเดล โครงการความร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โครงการ Waste this Way ในงานฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 74 และโครงการทดสอบและพัฒนาต่อยอดเครื่องบำบัดอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 เป็นต้น

สำหรับผลประกอบการในปี 2562 GC มีรายได้จากการขายรวม 409,688 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 21 จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 11,682 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 71 โดยมีปัจจัยหลักมาจากระดับราคาผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน และปริมาณการขายที่ลดลงเนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของหน่วยผลิตหลักในธุรกิจอะโรเมติกส์และธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา

โครงการลงทุนในปี 2563 : GCมีการขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดโครงการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยปัจจุบันมีการลงทุนในโครงการหลักที่ตอบสนองนโยบายNew S-Curve ของภาครัฐ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท

โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนใน Naphtha Cracker  เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบของบริษัทฯ  และต่อยอดธุรกิจปลายน้ำในอนาคตด้วยกำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตันและโพรพิลีน 250,000 ตัน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยคืบหน้าไปแล้ว 85 % คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 มูลค่าโครงการประมาณ 36,000 ล้านบาท

โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) และ โครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิตโพรพิลีน ออกไซด์(PO) 200,000 ตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ (Polyols) 130,000 ตันต่อปี มีมูลค่าโครงการประมาณ 34,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการเป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์โพรพิลีนไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายทางสายโพลียูรีเทน (Polyurethane) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ High Value Business (HVB) ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คืบหน้าไปแล้ว 85 % คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2563

โครงการร่วมลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงใน 2 โครงการได้แก่  PA9T 13,000 ตัน/ปี และ HSBC 16,000 ตัน/ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายเกรดพิเศษ เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive) และ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัด (KGC) มูลค่าโครงการประมาณ 15,000 ล้านบาท

โครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเทเรฟเทเลท (Polyethylene Terephtalate: PET)

ขยายการผลิต PET จาก 147,000 ตันต่อปี เป็น 200,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี2564

โครงการ HMC PP Line Expansion

กำลังการผลิต เม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน 250,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี2565

โครงการพลาสติกรีไซเคิล เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง GC Circular Living โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำบรรจุภัณฑ์ขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว มาเป็นวัตถุดิบในกระบวนการรีไซเคิล (Recycle)ได้เม็ดพลาสติกคุณภาพสูงระดับ Food-Grade และ Packaging-Grade

• ร่วมมือกับพันธมิตร แอลพลา  (ALPLA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับโลก ปฏิวัติการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน

• ตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO Limited) ที่นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย มาบตาพุด จังหวัดระยองเพื่อผลิตเม็ดพลาสติกหมุนเวียนคุณภาพสูง ชนิด rPET ขนาด 30,000 ตันต่อปี และ rHDPE ขนาด 15,000 ตันต่อปี จะเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 2563 และคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2564 มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท

 

โครงการศึกษาการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ อยู่ในระหว่างการศึกษาโครงการ US Petrochemical Complex โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็น Second Home Base ของบริษัทฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีความได้เปรียบด้านความสามารถในการแข่งขันทางด้านวัตถุดิบ โดยมีแหล่งวัตถุดิบอีเทน (Ethane) ทำให้มีต้นทุนต่ำ คาดว่าในช่วงกลางปี2563 จะได้ผลสรุปเพื่อตัดสินใจในการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ GC อยู่ในระหว่างการพิจารณาเงื่อนไขต่างๆของโครงการ

กำลังการผลิต โครงการ US Complex

เอทิลีน   1.5 ล้านตันต่อปี HDPE/LLDPE/mLLDPE 1.6 ล้านตันต่อปี

ดร.คงกระพัน กล่าวถึงมาตรการที่จีนจะแบนพลาสติก นั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อการขายผลิตภัณฑ์ของ GC เนื่องจาก GC มีเป้าหมายที่จะยกเลิกการผลิต HDPE Film for Single-use plastics ให้หมดภายในปี 2565  และวางแผนขยายตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Product: HVP) ในช่วงปี 2565-2568 เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค CLMV ที่มียอดขายมากกว่า 250,000 ตันต่อปีสำหรับตลาดจีนนั้น ในปี 2562 GC มียอดขายเม็ดพลาสติก  โพลิเอทิลีน (PE) ในตลาดจีนประมาณ 620,000 ตันต่อปีจำนวนนี้เป็น HDPE ประมาณ 186,000 ตันต่อปี โดยเป็น HDPE Film ประมาณ 76,000 ตันต่อปี GC ได้จัดแผนการลดHDPE Film for single use ตั้งแต่ปี 2561

สิ่งที่ GC มุ่งเน้นเพื่อสร้างความยั่งยืนมี 2 ประเด็นหลัก คือ 1) การลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด 2) การนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้ ซึ่งครอบคลุมใน 3 ส่วนหลักได้แก่

• Smart Operatingสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและนำมาหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

• Responsible Caringเป็นการพัฒนา ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความยั่งยืน เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเกิดประสิทธิภาพการใช้งานยาวนานมากที่สุด โดยไม่ผลิตสิ่งที่ใช้แล้วทิ้ง

• Loop Connectingเพิ่มพลังความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสีย และเชื่อมต่อธุรกิจให้ครบวงจร โดยขยายความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชน และเชื่อมต่อธุรกิจให้ครบวงจรในโครงการ Upcycling by GC อาทิ โครงการเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า โดย GC สนับสนุนในด้านการจัดการขยะ และยังได้ร่วมกับวัดจากแดงในการผลิตจีวรจากพลาสติกรีไซเคิล โครงการธนาคารทิ้ง-ไซเคิล (ThinkCycle Bank) โครงการWaste This Way ร่วมจัดการขยะในงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 74 สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้จำนวน 18,121 กิโลกรัม เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ จำนวน 2,013 ต้น โครงการทดสอบและพัฒนาต่อยอดเครื่องบำบัดอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) กับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศให้กับประชาชน เป็นต้น

นอกจากนี้ GC  ยังคงมุ่งมั่นในการผลิตเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจนในด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission) จากกระบวนการผลิตของบริษัทฯ โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ใน 10 ปีข้างหน้า (ปี 2573) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาภาวะโลกร้อน สอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และยังตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 52% ภายในปี2593 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของโลกในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส  ผลิตภัณฑ์ที่ GC ดำเนินการผลิต ได้รับการรับรองเครื่องหมาย Carbon Footprint และ Carbon Footprint Reduction จาก องค์การก๊าซเรือนกระจก (TGO) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้ง GC มีการวางเป้าหมายที่จะมีผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Performance & Green Chemicals) เพิ่มเป็น 30% ภายในปี 2573 และยกเลิกการผลิตเม็ดพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งใน 5 ปีข้างหน้าต่อไป นอกจากนี้ GC ยังได้รับการจัดอันดับเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices) หรือ DJSI ปี 2019 โดยได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วย Percentile 100 และอยู่ในระดับ Top 10 ของDJSI World และ Emerging Markets ในกลุ่มเคมีภัณฑ์ (Chemical Sector) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7