WHA Group โชว์งบ 6 เดือนแรก กวาดกำไรปกติ 992.0 ล้านบาท

WHA Group โชว์งบ เดือนแรก กวาดกำไรปกติ 992.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.8%

ส่งซิก Q3 จ่อเซ็นสัญญาขายที่ดินเพิ่ม 600 -700 ไร่

พร้อมประกาศขับเคลื่อนธุรกิจ สู่ Net Zero ในปี 2050

 

กรุงเทพ - บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ “ WHA Group ” ประกาศผลการดำเนินงานงวด6เดือนแรกปี 2565 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร 4,369.0 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 945.7 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 4,403.4 ล้านบาท และกำไรปกติ 992.0 ล้านบาทโดยกำไรปกติเพิ่มขึ้น 112.8% จากช่วง เดือนแรกปีก่อน พร้อมระบุครึ่งปีหลัง ภาพธุรกิจสดใส ส่งซิกไตรมาส 3/2565 จ่อเซ็นสัญญาขายที่ดินลูกค้ารายใหญ่ เพิ่มเติมอีก 600-700 ไร่ และอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินรวม 2,000-3,000 ไร่ ในขณะที่ธุรกิจด้านโลจิสติกส์ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกโกยโครงการใหม่เพิ่มเติมเกือบ 100,000 ตารางเมตร ด้าน Group CEO  “จรีพร จารุกรสกุล” ประกาศเป้าหมายสู่ Net Zero มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง SBTi ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจในเครือ 

 

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “WHA Group รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรและกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,186.8 ล้านบาท และ 289.6 ล้านบาท ตามลำดับ โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,238.9 ล้านบาท และกำไรปกติ 338.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.3% และ 20.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2564 

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 4,369.0 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 945.7 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 4,403.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.6% และกำไรปกติ 992.0 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 112.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นการสะท้อนศักยภาพการเติบโตของผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากทั้ง กลุ่มธุรกิจ 

 

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นผลจากการขับเคลื่อนของทั้ง กลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสอดรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ภาคการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวมธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่สะท้อนถึงผลประกอบการของ กลุ่มธุรกิจ

 

ธุรกิจโลจิสติกส์ มีผลงานการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น โดยในครึ่งปีแรก 2565 บริษัทฯ มีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มเติมรวม111,136 ตารางเมตร โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit รวม 87,946 ตารางเมตร กับลูกค้ารายใหญ่ อาทิ กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และกลุ่มโลจิสติกส์ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีสัญญาเช่าระยะสั้น ที่ให้ผลตอบแทนสูงรวม 96,071 ตารางเมตร คิดเป็นร้อยละ 96 ของเป้าหมายสัญญาให้เช่าพื้นที่ระยะสั้น ซึ่งในปี 2565 ได้กำหนดไว้ 100,000 ตารางเมตร ส่งผลให้ครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครอง และบริหารทั้งหมด 2,683,502ตารางเมตร และจากความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าคุณภาพสูงที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง  ส่งผลทำให้อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2565 แตะที่ระดับประมาณร้อยละ 90 ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ทั้งสิ้น 284.3 ล้านบาท และ 512.8ล้านบาท ตามลำดับ 

จากการที่ภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ปรับตัวอย่างโดดเด่นในครึ่งปีแรก ส่งผลให้บริษัทฯคาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมฯ ดังกล่าวในช่วงครึ่งปีหลังว่า จะมีดีมานด์การเติบโตอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เนื่องจาก บริษัทฯ มีการเซ็นสัญญาเช่ากับลูกค้ารายใหม่ทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งการส่งมอบพื้นที่เช่าให้กับลูกค้าได้ตามแผนงานที่วางไว้ แม้ว่าปัจจุบันต้นทุนวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทฯ มีการบริหารต้นทุนที่ดีรวมถึงได้มีการทำสัญญาซื้อขายและกำหนดราคาล่วงหน้ากับผู้รับเหมาไว้แล้ว จึงไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ แต่อย่างใด 

 

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จากนโยบายเปิดประเทศและมาตรการปลดล็อคการเดินทาง ส่งผลให้ลูกค้าชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกิจ เยี่ยมชม และซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ได้โดยสะดวก โดยกลุ่มนักลงทุนหลักในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วย กลุ่มลูกค้าชาวจีน และสหรัฐฯ จากหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ ธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นต้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตในครึ่งปีแรก 2565 โดยบริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 513 ไร่ แบ่งเป็นยอดขายที่ดินในประเทศไทย 482 ไร่ และประเทศเวียดนาม 31 ไร่ อีกทั้งมียอด MOU รวม 230 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 48 ไร่ และประเทศเวียดนาม 182 ไร่ โดยในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมรวม 704.0 ล้านบาท และ 1,398.0 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ยอดขายที่ดินที่ปรับตัวดีขึ้นนี้ สอดคล้องกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศไทย   

“ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการขยายและก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ขนาดพื้นที่จำนวน 1,281 ไร่ บนทำเลที่ตั้งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมถึงแผนการขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 เฟส 2 เพิ่มอีก 580 ไร่ และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 จำนวน 1,100 ไร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ขายและรองรับความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ในอนาคต ขณะที่มาตรการส่งเสริมการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการจูงใจด้านเงินอุดหนุนและการลดภาษีเพื่อหนุนการเปลี่ยนเป็นยานยนต์ไฟฟ้า และนโยบายผลิตรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซเป็นศูนย์ (zero-emission vehicle) ของภาครัฐก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญให้ผู้ประกอบการกลุ่มยานยนต์เพิ่มการลงทุน หรือใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลบวกต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในฐานะที่บริษัทฯ มีลูกค้ากลุ่มยานยนต์มากกว่าร้อยละ 30 อีกด้วย”

พร้อมทั้งประเมินว่า ภาพรวมธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีหลัง จะสามารถเติบโตได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก รวมถึงมียอดขายสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยทางจิตวิทยาเชิงบวก ภายหลังความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีน-ไต้หวัน ที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากนักลงทุนชาวต่างชาติ ที่ขอเข้ามาเยี่ยมชมนิคมฯ เพื่อการลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยเบื้องต้นคาดว่า ภายในไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทฯ จะสามารถเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินเพิ่มเติมอีกว่า 600-700 ไร่กับลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายที่ดินรอการส่งมอบ (Backlog) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่กว่า 1,000 ไร่ และคาดว่าจะสามารถส่งมอบและรับรู้รายได้บางส่วนภายในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้มีการเจรจากับนักลงทุนอีกหลายรายที่มีความต้องการที่ดินรวมกันมากกว่า 2,000-3,000 ไร่

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม ครึ่งปีแรก 2565 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 31 ไร่ และยอด MOรวม 182 ไร่ สอดคล้องกับปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจมหภาคและการลงทุนในประเทศเวียดนามที่ปรับตัวดีขึ้นภายหลังการกลับมาเปิดประเทศ และมีโอกาสขยายตัวสูงจากการเติบโตของ GDP และยอด FDI ของเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนทำให้ยอดขายนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นในอนาคต  ปัจจุบันเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีด้วยจำนวน Enquiry ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงเร่งพัฒนาเฟสที่ 2 บนพื้นที่กว่า 2,200 ไร่ โดยได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ พื้นที่รวมทั้งเฟส 1 เฟส 2 และส่วนต่อขยายของเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน จะมีพื้นที่รวมทั้งสิ้นกว่า 11,550 ไร่ 

นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเวียดนาม ยังส่งผลทำให้เกิดความต้องการที่ดินภายในเขตอุตสาหกรรมคุณภาพสูงอีกจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทฯ เร่งพัฒนาโครงการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมใหม่เพิ่มเติมในจังหวัด Than Hoa 

 

ธุรกิจสาธารณูปโภค(น้ำ) ยังคงเติบโตต่อเนื่องโดยบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2565 เท่ากับ 663.2 ล้านบาท และ 1,285.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.3% และ 8.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมสำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2565 เท่ากับ 39.4 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 75.1 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ และมีปริมาณการจำหน่ายน้ำภายในประเทศ สำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2565 รวม 32.4 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 62.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ปรับตัวดีขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ สะท้อนถึงปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะ Gulf SRC ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติม  

ขณะที่ธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนาม โครงการ ดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant: SDWTP) ในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ มียอดจำหน่ายน้ำรวม    ตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 6.7 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 12.2 ล้านลูกบาศก์เมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้น้ำจากทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ รวมถึงการที่สถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัดฮานอยคลี่คลายลง

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) ใน              ไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2565 รวม 1.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ภายใต้ความมุ่งมั่นพัฒนาและเปิดดำเนินการโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาซื้อขายกับ Gulf SRC ที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยการผลิตที่ 3 และ 4 ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 และส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มเติมอีกกว่า 1.4ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี นอกเหนือจากการขยายฐานลูกค้าสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำประเภท Conventional ท้้งน้ำดิบ และน้ำอุตสาหกรรมทั่วไป อีกทั้งบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ Value-Added Product ได้แก่ น้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) และน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ที่ได้จากกระบวนการ recycle น้ำเสีย เพื่อช่วยเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกด้วย

สำหรับแผนงานการเติบโตนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอนั้น ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการลงนามสัญญาร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนสำหรับผลิตและจำหน่ายน้ำประเภท Value - Added Product  ให้กับลูกค้าที่เป็นโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย โดยเฟสแรกมีกำลังการผลิตประมาณ 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2565 

นอกจากการลงทุนเพิ่มยอดจำหน่ายน้ำแล้ว บริษัทฯ ยังมีการลงทุนในการจัดหาแหล่งน้ำดิบทางเลือกอื่นๆ  อาทิ การขุดอ่างเก็บน้ำเพิ่ม เพื่อลดการพึ่งพาการจัดซื้อน้ำดิบจากผู้จำหน่ายหลัก รวมถึงเป็นการลดต้นทุนในการจัดหาน้ำดิบ โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตของแหล่งน้ำดิบทางเลือกอีกอย่างน้อย 11 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อปี 

โครงการที่ประเทศเวียดนาม บริษัทฯ มีการขยายการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟสที่ 2 ซึ่งได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 หลังจากเฟสที่ 1 พัฒนาแล้วเสร็จ และพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าภายใน           เขตอุตสาหกรรม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง