CIMBT ฟันธง กนง.ขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.5


สำนักวิจัยฯ CIMBT ฟันธง กนงขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ 0.5%ชี้ปัจจัยเงินเฟ้อสูง เหตุเงินบาทอ่อนค่าจากนักลงทุนต่างชาติ เทขายพันธบัตร

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เห็นสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายชัดเจน จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย หลัง เปิดเมือง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น ช่วยสนับสนุนธุรกิจภาคบริการ อีกทั้งภาคการส่งออกที่เติบโต ต่อเนื่องช่วยสนับสนุนภาคการผลิต

อย่างไรก็ดี ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งแรง ต้นทุนวัตถุดิบ ต่างๆ เพิ่มสูง ส่งผลให้การใช้จ่ายของครัวเรือนเติบโตช้าและกระจุกตัวในกลุ่มรายได้กลาง-บน และกลุ่มที่ได้ประโยชน์ จากการท่องเที่ยวและส่งออก แต่การท่องเที่ยวกระจุกตัวใน จังหวัดท่องเที่ยวเพียงไม่กี่แห่ง ส่วนกลุ่มภาคเกษตรยังเผชิญปัญหา ธุรกิจขนาดกลางและเล็กยังมีปัญหาหนี้สูง รายได้โตไม่ทันรายจ่าย ผลจากปัญหาเงินเฟ้อพุ่งแรง จึงเห็นสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 10 สิงหาคม 2565

คำถามสำคัญตอนนี้ หากขึ้นดอกเบี้ยช้าหรือไม่แรงพอจะเกิดอะไรขึ้น หากกนง.รอบนี้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.25% ไปสู่ระดับ 0.75% ต่อปี เป็นระดับที่รับรู้ของตลาดเงินและตลาดทุนอยู่แล้วแต่ที่ต้องจับตามองต่อ เป็นการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง ที่ชัดเจน รวดเร็ว และขึ้นแรง เนื่องจากรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนี้ไทยตามหลังสหรัฐและประเทศอื่นมามากแล้ว และหากปรับขึ้นเพียง 0.25% และไม่ได้มีการส่งสัญญาณใดๆ หรือให้น้ำหนักกับการคงดอกเบี้ยต่ำเพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Dovish) มากเกินไป อาจจะได้เห็นสิ่งต่อไปนี้

เงินเฟ้อคาดการณ์ สูง ราคาสินค้าอาจขยับขึ้นต่อเนื่องในอนาคต หากไม่สามารถ สร้าง ความเชื่อมั่น ด้านเสถียรภาพ ราคาได้ อาจเห็นการปรับขึ้นราคาสินค้าจากฝั่งอุปสงค์ที่มีการอั้นมานาน และทยอยปรับขึ้นต่อเนื่องทำให้เงินเฟ้อยังสูงในปีหน้า

เงินไหลออกทำบาทอ่อนค่า จากการเทขายพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ และบาทที่อ่อนอาจมีผลต่อต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มสูง ทำให้เงินเฟ้อเร่งต่อเนื่อง แม้บาทอ่อนช่วยกลุ่มท่องเที่ยวและส่งออก แต่ความผันผวนที่สูงมีผลให้การบริหารทางบัญชีมีความลำบาก

สภาพคล่องที่สูงแต่ดอกเบี้ย ต่ำ ทำให้คนอยากเก็งกำไรในสินทรัพย์ เสี่ยงมากเกินไป หรือประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป จนอาจมีผลต่อความเสี่ยงด้านสถาบันการเงินในอนาคต

สามปัจจัยข้างต้นอาจเป็นเหตุผลให้ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% อย่างไรก็ดี หากกนงขึ้นดอกเบี้ยแรงรอบแรกนี้ถึง 0.5% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ระดับ 1.0% ต่อปี ก็อาจไม่เหนือความคาดหมายของตลาด แต่ให้น้ำหนักน้อย และน่าจะเกิดจากความล่าช้าของไทยในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงก่อนหน้าและการประชุมกนงที่เว้นระยะห่างไว้มากกว่าเดิม ทำให้พอจะปรับขึ้นก็ต้องปรับแรงขึ้น อีกทั้ง คณะกรรมการเสียงข้างน้อยที่เสนอให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบก่อนอีก 0.25% อาจเสนอให้ปรับขึ้น0.50% ในรอบนี้ไปเลย แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงที่ 0.5% ในครั้งเดียวก็ไม่น่าทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนผันผวน แต่อาจต้องพิจารณาการส่งผ่านของอัตราดอกเบี้ยสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในปลายปีนี้ถึงปีหน้า เพราะเศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้าและระดับเศรษฐกิจไทยยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด ไม่เหมือนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐและประเทศอื่นที่ฟื้นได้ก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว  

ผมฟันธงกนง.จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% แต่เสียงแตก มติไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกนงเสียงข้างมาก น่าจะให้น้ำหนักความเสี่ยงในการฟื้นตัวและการกระจายตัวของเศรษฐกิจไทย จึงปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เท่านั้น และน่าจะมีเสียงข้างน้อย 3 เสียงเช่นเดิมที่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.5% ไม่ว่าจะทางไหนดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่มีหนี้สูงและมีการฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้มากและยังมีปัญหารายได้โตไม่ทันรายจ่าย เช่น กลุ่มธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ การสื่อสารและโทรคมนาคม ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจขนส่ง การก่อสร้างและขายวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจสำนักงานให้เช่า ยกเว้นว่ากลุ่มดังกล่าว อยู่ในพื้นที่หรือมีลูกค้ากลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว การส่งออก และการฟื้นตัวของกำลังซื้อระดับกลางถึงบนก็จะได้รับผลกระทบน้อย เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทยรอบนี้มาจากการฟื้นตัวที่ช้าของกำลังซื้อระดับล่าง โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับสูง” ดร.อมรเทพ กล่าว