“ดีบีเอส” ชูธีมลงทุนหุ้นเด่นปี 65

ดีบีเอส” ชูธีมลงทุนหุ้นเด่นปี 65 กลุ่มเมตาเวิร์ส-EV-เฮลท์แคร์-เปิดประเทศ มาแรง เตือนปัจจัยเสี่ยง “ค่าเงินผันผวน-การเมือง-การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล-เทคโนโลยี

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส คาดปีนี้จีดีพีไทยเติบโต 3.5% ยืนเป้าดัชนี 1800 จุด แนวโน้มระยะสั้นช่วงไตรมาส 2 หวั่นตลาดผันผวนจากเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยที่กำลังกลับเป็นขาขึ้น  ชูธีมการลงทุนกลุ่มเมตาเวิร์ส-ธุรกิจที่รับประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า-กลุ่มเฮลท์แคร์-กลุ่มที่ได้อานิสงค์จากการเปิดประเทศ” มาแรง  เปิดโผหุ้นเด่นไตรมาส 2 ยกให้ AOT MINT PTT GPSC BH CPALL ADVANCE  ส่วนตลาดต่างประเทศแนะเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีน  เตือนปัจจัยเสี่ยงค่าเงินผันผวน-การเมือง-การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล-เทคโนโลยี ชี้กรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครนจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ขอบเขตความขัดแย้งจะขยายตัวไปถึงสวีเดนและฟินแลนด์หรือไม่

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)  จัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “สู่การลงทุนเหนือชั้น ฝ่ายุค Digital-Metaverse–EV” เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 โดยนายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทยกล่าวในหัวข้อ “DBS CIO Insight 2Q22 Anchor in the Storm” ว่าแม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบทางลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัว และลดความเสี่ยงของภาวะอัตราเงินฝืดหรือ “stagflation” 

ทั้งนี้ ธนาคารดีบีเอสและฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีนเป็น “Overweight” หลังจากที่รัฐบาลประกาศนโยบายหนุนเศรษฐกิจและหุ้นจีนราคาไม่แพง พร้อมกับแนะหุ้นกลุ่ม  “quality” และตราสารหนี้กลุ่มInvestment Grade ในประเทศพัฒนาแล้ว  โดยหุ้นที่เป็น ธีมเด่นคือกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) และการลงทุนทางเลือก เช่นโครงสร้างพื้นฐานและทองคำ

ส่วนมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจปี 2565  ประเมินว่า เงินเฟ้อสูงยัง สร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลาง โดยฝ่ายวิจัย DBS คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 7 ครั้งในปี 2565 และธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB จะหยุดทำคิวอี 

ทั้งนี้ ธนาคารดีบีเอส และฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส คาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะเติบโต 3.5% ส่วนปีหน้าจีดีพีขยายตัว 4.2%  ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาประเมินว่าจีดีพีปีนี้โต 3% ส่วนปีหน้า2%  ด้านประเทศจีนประเมินจีดีพีปีนี้ 5.3% ปีหน้า 5%  และประเทศในยุโรปจะมีอัตราการขยายตัวของจีดีพี 3% ขณะที่ปีหน้า 2.5%

เศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐ จีน ยุโรปอินเดีย จะเติบโตชะลอลง ขณะที่ ขณะที่เศรษฐกิจหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดรุนแรงของสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2564 จะฟื้นตัวเร่งขึ้นในปีนี้ เช่นญี่ปุ่น กลุ่ม ASEAN หลายประเทศยกเว้นสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะได้รับผลลบจากราคาน้ำมันสูงและเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อ  จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19ที่คลี่คลาย และการฟื้นตัวของภาคบริการเช่นการเดินทาง ท่องเที่ยว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว

ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยน ประเมินค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมีแนวโน้มแข็งขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและสถานการณ์ยูเครน ทำให้นักลงทุนโยกไปถือเงินดอลลาร์ ซึ่ง เป็น safe haven ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ(Fed fund rate) จะเพิ่มขึ้นมาที่ 2.5% ในปลายปีนี้ และ 3.50% ในช่วงกลางปีหน้า หนุนโดยเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ประกอบด้วยความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน  การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล  เทคโนโลยี รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

ด้านนางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทยกล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้ยังคงยืนเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ระดับ 1800 จุด อิงกับค่าพีอีเรโชว์18.9 เท่า

โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงสิ้นสุดวันที่ 12 เมษายน 2565 (YTD) นักลงทุนต่างชาติกลับมามียอดซื้อสุทธิ 1.1 แสนล้านบาท จากช่วง 5 ปีย้อนหลัง คือ ปี 2560-2564 นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิทุกปี รวมขายสุทธิสะสมเท่ากับ 6.7 แสนล้านบาท

ส่วนภาพรวมการลงทุนในไตรมาส 2/2565  นางสาวอาภาภรณ์ คาดว่าดัชนีหุ้นยังผันผวน  โดยได้รับผลกระทบจาก  อัตราเงินเฟ้อที่สูงจากต้นทุนผลัก (Cost Push) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟดมีโอกาสปรับเพิ่มดอกเบี้ยอัตรา0.5% ในการประชุม 3-4 ..นี้   สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมทั้งการขึ้นเครื่องหมาย XD หุ้นจำนวนมากในช่วงเดือนเม..-..  ขณะที่โควิดยังแพร่ระบาดต่อเนื่อง และหนี้ภาคครัวเรือนสูง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2/2565 ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง เปิดประเทศ (Reopening) เงินสะพัดจาการหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงการที่ไทยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยตรงไม่มากนัก กลยุทธ์การลงทุนเน้นสร้างพอร์ตให้มีคุณภาพแข็งแกร่งและเติบโตได้ยั่งยืนในระยะยาว โดยเลือกซื้อสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว

สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ บล.ดีบีเอสฯ แนะนำเลือกลงทุน ธุรกิจในโลกอนาคต หรือเมตาเวิร์ส  ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั่วโลก  ธุรกิจที่รับประโยชน์จากยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) เนื่องจากสังคมสูงวัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าและบริการด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น กลุ่มธนาคารและประกันที่ได้อานิสงค์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น   กลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว หากไม่มีโควิดสายพันธ์ใหม่ที่รุนแรงเข้ามาเพิ่ม

ด้านนายสมบัติ  เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทยจำกัด กล่าวว่า  บริษัทได้คัดสรรหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากธีมการลงทุนเด่นในไตรมาส2/65 โดยหุ้นที่ข้องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว แนะนำ  AOT ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 75 บาท จากการที่ประเทศไทยและทั่วโลกทยอยผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจบริหารสนามบินกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว 

ส่วนธุรกิจที่ได้รับผลดีจาการฟื้นตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ แนะนำ MINT ราคาเป้าหมาย 40 บาท  จากผลประกอบการพลิกกำไรในไตรมาส 4 ปี 64  เนื่องจากโรงแรมมีการเข้าพักมากขึ้นทั้งในไทย มัลดีฟส์ และยุโรป  โดยประเมินว่าการเดินทางจะกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ ไตรมาส 1ปี 65 ขณะที่ NH Hotel เข้าสู่ High Season ในไตรมาส 2 ปี 65  ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส2/65 หรือ 2H65 จะมีกำไรกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่ PTT  ยังเป็นหุ้นดีตามราคาน้ำมัน และ EV CAR ในอนาคต  แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 57.50 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบแข็งแกร่งจาก ปัจจัยสงครามรัสเซียและยูเครนปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 และ 66 เพิ่มขึ้นจากเดิม 20% และ15%

นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้น GPSC โดยกำหนดราคาเป้าหมายที่หุ้นละ  90 บาท เนื่องจากได้รับผลดีจากอุปสงค์ไฟฟ้าฟื้นตัวและธุรกิจแบตเตอรี่รถ EV รวมทั้งยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มตามดีมานด์ลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัว และในปี 65 จะมีการทยอย บุ๊กส่วนแบ่งกำไรโซลาร์ฟาร์ม Avaada ในอินเดียที่ถือหุ้น41.6% นอกจากนี้บริษัทยังจะมีการบันทึกกำไรขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นประมาณ 600 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 65

ด้าน ADVANC ยังเป็นหุ้นโดดเด่นในกลุ่มเทคโนโลยี, Domestic Play ราคาเป้าหมาย250 บาท เป็นอีกหุ้นที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจไทย เน้นธุรกิจในประเทศ ได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ TRUE-DTAC ทำให้สถานการณ์แข่งขันลดลง

CPALL เป็นหุ้นที่คาดการณ์กำไรปีนี้โตโดดเด่น ราคาเป้าหมาย 75.25 บาท ปีนี้คาดกำไรเติบโต 81% และปี 66 โตต่ออีก 21% ปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ปรับราคาสินค้าขึ้นตามเงินเฟ้อมีรายได้จาก Lotus มาเสริม มีแพลตฟอร์มการขายใหม่ๆ

BH เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศและธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564    แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 175 บาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาสแรก ปี 65 จะเติบโตทั้ง YoY และQoQ และประมาณการว่ากำไรปี 2565 และปี 2566 เมื่อเทียบกับ YoY จะเติบโต +113%/+39% ตามลำดับ โดยกำไรกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดได้ในปี 66  

BEM โดดเด่นจากรถไฟฟ้า ทางด่วนฟื้นตัว แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท แนวโน้มไตรมาส 1 ปี 65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปริมาณการใช้ทางด่วน-รถไฟฟ้า คาดว่ารายได้ปี 65 โตดี 26%

ด้านนายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทยกล่าวว่า ภาพรวมดัชนีหุ้น ในส่วนของภาพหลัก “ไม่เปลี่ยน” โดยยังเป็น “ขาลงในระยะกลาง ดังนั้น ทิศทางหลักจึงเป็นการปรับตัวลง” หากจะมีการปรับขึ้นจะมีนัยสำคัญแค่การรีบาวด์ฯทางเทคนิคเท่านั้น เนื่องจากดัชนีหุ้นในช่วงที่ผ่านๆมา ยังขาดแรงส่งในทางบวกหรือยังตกอยู่ใต้อิทธิพลด้านลบ (Overbought + Divergence) ด้วยปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ทิศทางตลาดฯในไตรมาส 2/2565 มีทิศทางของการอ่อนตัวลงโดยมี “แนวรับ(ย่อย)” ที่มีโอกาสถูกทดสอบจะอยู่ที่ระดับ 1640 ,1620 จุด หรืออาจถึง 1600 – 1580 จุด

สำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร กรณีดัชนีสูงกว่า 1700 จุด ให้เน้น “ซื้อค่าบวก” เพื่อลุ้น หรือรอขาย” ที่แนวต้าน1710 – 1720, (1750) จุด แต่ถ้ากรณีดัชนีต่ำกว่า 1700 จุดเน้น “ซื้ออ่อนตัว” ที่ 1640, 1620 หรือ 1600 – 1580 จุด เพื่อลุ้น / รอขาย เมื่อมีการปรับขึ้นตามมา

ขณะที่นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)  กล่าวว่า มุมมอง SET50 ตลาดยังคงมีความเสี่ยงขาลง หากยังไม่สามารถกลับไปยืนเหนือ 1010-1015 ได้ ยังมีโอกาสที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแกว่งตัวลงในระยะกลาง ลงทดสอบ 960 หรือต่ำกว่าได้ ต้องขึ้นไปยืนเหนือจึงจะยกเลิกมุมมองดังกล่าว เชิงปัจจัย การขึ้นดอกเบี้ยเร็วของเฟดและการลดขนาดงบดุลยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในระยะกลางจนกว่าเราจะเห็นเงินเฟ้อพีค โดยในส่วนของการลดขนาดงบดุล ต้องติดตามว่าจะเป็นการปล่อยให้หมดอายุหรือขายออกมาในตลาด หากเป็นกรณีหลังจะกดดันตลาดได้สูง ส่วนประเด็นเรื่องยูเครน-รัสเซีย จุดเปลี่ยนที่สำคัญอยู่ที่ขอบเขตความขัดแย้งจะขยายตัวไปจนถึงสวีเดน-ฟินแลนด์ที่จะเข้าร่วมนาโต้หรือไม่ หากเข้าร่วมได้สำเร็จจะเป็นปัจจัยที่แพร่ขยายพื้นที่รบของสงครามได้และเป็นความเสี่ยงสูงต่อตลาดหุ้น ส่วนจีนลด RRR เป็นบวกต่อตลาดได้ในระยะสั้น

ส่วนทองคำ การปรับตัวลงมีแนวรับที่ไม่ควรต่ำกว่าที่ 1960/1915 จึงจะยังเป็นการแกว่งตัวขึ้น หากหลุดต่ำกว่าแนวรับสองจะพักฐานนานหรือจบรอบ ส่วนการขึ้นมีแนวต้านที่ 2010 กับ 2070 การทะลุ 2070 ได้จึงจะขึ้นรอบใหม่ มิฉะนั้นตอนนี้ยังแกว่งตัวในกรอบค่าเงินบาท ทิศทางค่าเงินบาทระยะกลางหากทะลุ 34 ได้จะขึ้นหรืออ่อนค่ารอบใหม่ หากพักฐานต้องไม่หลุดต่ำกว่า 33.2 จึงจะเป็นการแกว่งตัวขึ้นเพื่อทะลุ 34 โดยส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐ ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีและการทำ QT จะส่งผลให้บาททิศหลักยังเป็นการอ่อนค่าต่อเนื่อง ตอนนี้แกว่งตัวเพื่อรอเบรกทะลุ 34 หากยังไม่หลุด 33.2