SET เผยบจ. ไทย โชว์กำไรปี 2564 รวม 9.86 แสนล้านบาท ฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ

ตลทเผยบจ.ไทยใน SET รายงานกำไรสุทธิปี 64 รวม 9.86 แสนลบเพิ่มขึ้น 79.9% ฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติด้าน mai กำไรสุทธิรวม 8.43 พันลบเพิ่มขึ้น 273.6%

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) รายงานผลการดำเนินงานปี 2564 มียอดขายเติบโตสูง จากผลของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และการปรับธุรกิจให้รับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดี ทั้งนี้ ส่งผลให้ดัชนีชี้วัดการทำกำไรกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บจจำนวน 757 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) คิดเป็น 97.1% จากทั้งหมด 780 บริษัท (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบจในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวดปี 2564 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2564 พบว่ามี บจรายงานกำไรสุทธิ 592 บริษัท คิดเป็น 78.1% ของ บจที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

สรุปผลการดำเนินงานของ บจใน SET งวดปี 2564 เทียบกับปี 2563 มียอดขายรวม 13,131,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.1% กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,557,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.3% กำไรสุทธิ 985,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บจมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.9% และ 7.5% ตามลำดับ สูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดปีก่อน สำหรับฐานะการเงินของกิจการ  สิ้นเดือนปี 2564 บจมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงินอยู่ระดับที่ 1.54 เท่า คงที่เมื่อเทียบกับ สิ้นปี 2563

ทั้งนี้ หากพิจารณาเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า บจมีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีอัตรากำไรกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562

ในปี 2564 มี 3 ปัจจัยหลักที่เอื้อต่อการเติบโต ได้แก่ การปรับตัวของราคาน้ำมันส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น การปรับรูปแบบธุรกิจไปสู่วิถีแบบใหม่ (New Normal) ให้รับมือสถานการณ์แพร่ระบาด  โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี และการผ่อนคลายมาตรการโควิดของไทย ทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวมีส่วนสนับสนุนให้ บจมีกำไรจากการดำเนินงานหลักดีขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงาน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เหล็กขนส่ง (ทางเรือธุรกิจการแพทย์และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ เช่น ถุงมือยาง และธุรกิจภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมีการฟื้นตัวอย่างมาก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุอุตสาหกรรม และชิ้นส่วนยานยนต์” นายแมนพงศ์กล่าว

ด้าน ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เผย บจ. mai มียอดขายและกำไรปี 2564 เพิ่มขึ้น 13% และ 30% ตามลำดับมียอดขายรวม 171,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3%  , กำไรจากการดำเนินงาน 10,757 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.9% และกำไรสุทธิที่ไม่รวมรายการพิเศษ 3,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8%

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 176 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 184 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือNC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวดนำส่งผลการดำเนินงานปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 พบว่า บจที่รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 128 บริษัท คิดเป็น 73% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด

ผลประกอบการ บจ. mai ปี 2564 เทียบกับปี 2563 มียอดขายรวม 171,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% ต้นทุนขาย132,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 22.8% กำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) 10,757 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.9% ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น6.3% ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 8,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 273.6% ซึ่งหากพิจารณากำไรโดยไม่รวมรายการพิเศษกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 3,498 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 29.8% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.0%

ในปี 2564 บจยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ตามมาตรการควบคุมจากภาครัฐที่มีการผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเทียบกับในปี 2563 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับหลาย บจสามารถบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้ บจใน mai มียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ตามลำดับ” นายประพันธ์กล่าว

สำหรับส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 282,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% จากสิ้นปี 2563 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 1.02 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2563 ที่เท่ากับ 1.10 เท่า

ปัจจุบันมี บจใน mai 184 บริษัท (ข้อมูล  วันที่ 10 มีนาคม 2565) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 612.37 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 500,508 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 7,059 ล้านบาทต่อวัน