ALT เร่งพัฒนาโครงข่ายข้ามแดน 15 จุด รับยอดใช้แบนด์วิดท์โตแรง-ส่งไทยก้าวสู่ ASEAN Digital Hub

เอแอลที เทเลคอม เร่งพัฒนาโครงข่ายต่างประเทศ รองรับความต้องการใช้บริการแบนด์วิดท์พุ่งสูง ปูพรม 15 จุดข้ามแดนครอบคลุมทั้ง “เมียนมาร์ ลาว เขมร มาเลเซีย” ผนึกพันธมิตรเชื่อมต่อไปยังสิงคโปร์ เวียดนาม และฮ่องกงสอดคล้องนโยบายรัฐที่ผลักดันให้ไทยเป็น ASEAN Digital Hub ขณะที่สถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2565

นายพิชิต สถาปัตยานนท์ กรรมการบริหาร บริษัทเอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชนหรือ ALT เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี กฎระเบียบต่างๆ ตลอดจนนโยบายของภาครัฐ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทได้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ เพื่อขยายฐานธุรกิจให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิมที่จำกัดอยู่แค่เพียงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับกิจการด้านโทรคมนาคม โดยได้ขยายฐานธุรกิจเดิมให้รองรับและเชื่อมโยงไปถึงกิจการด้านพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ รวมถึงการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ การปรับวิสัยทัศน์ของบริษัท ทำให้มองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันได้อย่างกว้างขวางสามารถต่อยอดการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่มีอยู่แล้ว รวมถึงสามารถขยายขอบการให้บริการครอบคลุมไปถึงลูกค้าในประเทศเพื่อนบ้านได้อีกด้วย 

สำหรับโครงข่ายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสงซึ่งเป็นธุรกิจหลักแต่เดิม  บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก (Backbone Network) ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศเรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐาน 15 จุด เพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย โดยมีการลงทุนผ่านกิจการร่วมค้า คือบริษัทสมาร์ท อินฟราเนท จำกัด (SIC) และ บริษัทอินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (IH) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าภายในประเทศและลงทุนผ่าน บริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด (IGC) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศขณะเดียวกันก็ได้มีการลงทุนผ่าน บริษัทร่วมทุนคือ เมียนมาร์ อินฟอร์เมชั่น จำกัด (MIH) ที่เป็นกิจการในเมียนมาร์ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้าในเมืองย่างกุ้ง

นายพิชิตกล่าวว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในเมียนมาร์ ปริมาณความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้นกว่า30% โดยผลประกอบการของ IGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เป็นผู้ให้บริการแบนด์วิดท์ระหว่างประเทศแก่ลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีรายได้สูงขึ้น จากปริมาณการใช้งานแบนด์วิทด์ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว

โดยบริษัทได้วางเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ASEAN Digital Hub จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่มีความเหมาะสมเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อของภูมิภาคอาเซียนทำให้ประเทศไทยสามารถวางโครงข่ายโทรคมนาคมเชื่อมต่อไปยังประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet Hub) ที่สำคัญๆของโลกและเชื่อมต่อโดยตรงไปยังภูมิภาคอื่นๆได้ด้วยระบบเคเบิลใยแก้วนำแสงภาคพื้นดินและระบบเคเบิลใต้น้ำ

โดย IGC ได้เริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำและสถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำในพื้นที่จังหวัดสตูลเป็นโครงการแรกของIGC ในธุรกิจให้บริการเคเบิลใต้น้ำในพื้นที่จังหวัดสตูลเพื่อเชื่อมต่อระบบเคเบิลใต้น้ำในโครงการเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศในส่วนของเส้นทางประเทศไทยฝั่งทะเลอันดามันไปยังจุดเชื่อมต่อในมหาสมุทรอินเดียเพื่อรองรับการเชื่อมโยงระบบสื่อสารระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย

ทั้งนี้โครงการระบบเคเบิลใต้น้ำที่ IGC เข้าไปมีส่วนร่วมในการให้บริการเป็นโครงการร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมและ OTT มีความยาวกว่า8,000กิโลเมตร มีจุดการเชื่อมต่อโดยเริ่มต้นจากประเทศสิงคโปร์ มาเลเซียประเทศไทย เมียนมาร์ และไปสิ้นสุดที่ประเทศอินเดียระบบเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงมีจำนวนคู่ใยแก้วนำแสงตามแนวเส้นทางหลักทั้งสิ้น 12 คู่ใยแก้วนำแสง (fiber pairs) โดยระบบรองรับความจุในการสื่อสารข้อมูลได้มากกว่า 200 เทราบิทต่อวินาที (Tbps) ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างในส่วนโครงสร้างหลักของสถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำเสร็จสิ้นพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 2 ปี2565

ปัจจุบัน IGC ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยที่ ALT ตั้งเป้าให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ธุรกิจและได้เริ่มให้บริการแก่ลูกค้าต่างประเทศในระดับ World Class ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแนวหน้าในกลุ่มอุตสาหกรรมประเภท OTT โดยมีสัญญาให้บริการระยะยาวทั้งการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมและบริการสถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำในพื้นที่จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในธุรกิจให้บริการระบบเคเบิลใต้น้ำที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นในประสิทธิภาพโครงข่ายโทรคมนาคมของบริษัท” นายพิชิตกล่าว