กสิกรไทยจับมือ 2 พันธมิตรปล่อยกู้ 1.1 พันล้านบาท หนุนธุรกิจผลิต-ขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโครงการโซลาร์เซลล์

กสิกรไทยจับมือธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนเรสปอนส์อะบิลิตี้ ร่วมปล่อยกู้ 1.1 พันล้านบาท ให้บริษัท กรีน เยลโล่ (ไทยแลนด์) จํากัด เพื่อนำไปดำเนินโครงการกรีน เยลโล่ โซล่าร์ ผลิต-ขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จาก 92 โครงการ ในรูปแบบโซลาร์รูฟท็อป, โซลาร์ฟาร์ม, และ โซลาร์ลอยน้ำ เป็นกำลังการผลิตรวม 60.3  เมกะวัตต์ ให้แก่ 14 บริษัทชั้นนำ  เปิดทางสู่การสร้างสังคมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Society) สอดรับกับกรอบแผนพลังงานชาติ มุ่งสู่พลังงานสะอาด เพื่อบรรลุเป้าหมายของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608(ค.ศ. 2065) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGsและความตกลงปารีส (Paris Agreement)




นายทิพากร สายพัฒนา  รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทยเปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเซีย (Asian Development Bank หรือ ADB) และกองทุนเรสปอนส์ อะบิลิตี้ (responsAbility Fund หรือ rA)  สนับสนุนสินเชื่อโครงการ (Project Finance) ในรูปแบบการปล่อยกู้ร่วม (Syndication Loanวงเงิน 1.1 พันล้านบาท ในสัดส่วนแห่งละ 33.3เท่ากัน เป็นระยะเวลา 13 ปี ให้แก่ โครงการกรีนเยลโล่ โซล่าร์ 1 ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จาก 92 โครงการ ในรูปแบบโซลาร์รูฟท็อป, โซลาร์ฟาร์ม, และ โซลาร์ลอยน้ำ เป็นกำลังการผลิตรวม 60.3  เมกะวัตต์ ให้แก่ 14 บริษัทชั้นนำ  ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท กรีน เยลโล่ (ไทยแลนด์) จํากัด ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโครงการโซลาร์เซลล์ ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนโดยเป็นพลังงานสะอาดที่จำหน่ายในราคาประหยัดผ่านสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Private PPAให้แก่บริษัทผู้รับซื้อไฟฟ้านับเป็นโครงการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยให้ธุรกิจของผู้รับซื้อไฟฟ้าสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้ โดยเชื่อว่าจะเป็นโมเดลธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะสามารถต่อยอดขยายไปในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยรวมทั้งตลาดภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคต



ธนาคารกสิกรไทยตระหนักถึงบทบาทสำคัญของการเป็นผู้ให้บริการทางการเงินและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยภายใต้หลักการธนาคารแห่งความยั่งยืนโดยธนาคารมุ่งมั่นที่จะดำเนินการเพื่อเพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้า และพร้อมสนับสนุนลูกค้าก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ตามที่ธนาคารได้ประกาศความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Commitment) ไว้ โดยธนาคารจะสนับสนุนด้านการเงินและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนไม่น้อยกว่า 1-2 แสนล้านบาท ภายใน พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) และจะเป็นผู้บุกเบิกการเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับกรอบแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กระทรวงพลังงาน ที่มีแนวทางให้ประเทศไทยมุ่งสู่พลังงานสะอาด เพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutralityในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zeroในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) อีกทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายความตกลงปารีส (Paris Agreementและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development GoalsSDGsเพื่อให้ธนาคารและลูกค้าของธนาคารก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกนายอ๊อทแมน ฮัจจิ ผู้ก่อตั้งและประธาน กรีน เยลโล่ กล่าวว่า การได้รับสนับสนุนทางการเงินเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว เป็นสิ่งยืนยันให้เห็นถึงความต้องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มมากขึ้น และตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำธุรกิจดังกล่าวของ กรีน เยลโล่ อีกด้วย โดยปัจจุบันธุรกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในประเทศไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 70% ของความต้องการทั้งประเทศการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายลดคาร์บอนในขณะที่ยังคงสามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ อีกทั้งยังทำให้ลูกค้าภาคธุรกิจของเราสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการใช้พลังงานได้อย่างยั่งยืน กรีน เยลโล่ ขอขอบคุณธนาคารพัฒนาเอเซีย ธนาคารกสิกรไทย และกองทุนเรสปอนส์อะบิลิตี้ ที่ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการดังกล่าว ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้กรีน เยลโล่ เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาให้กับภูมิภาคนี้

นายอองตวน เปรโดร ผู้บริหารด้านการลงทุน กองทุนเรสปอนส์อะบิลิตี้กล่าวว่า การระดมเงินทุนสนับสนุน กรีน เยลโล่ ถือเป็นส่วนเสริมที่ยอดเยี่ยมในพอร์ตโฟลิโอของเราในการสนับสนุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าทั้งในกลุ่มพาณิชย์และกลุ่มอุตสาหกรรมในภูมิภาค ความร่วมมือกับกรีน เยลโล่ ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งเสริมด้านพลังงานหมุนเวียนในเอเชีย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมการลงทุนของเรา