WHA Group Q3/64 โชว์กำไรปกติ 228.5 ล้านบาท

WHA Group Q3/64 โชว์กำไรปกติ 228.5 ล้านบาท

ส่งซิกข่าวดีไตรมาส 4  พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาล

จ่อขายสินทรัพย์เข้า WHART กว่า 5,550 ล้านบาท

 

กรุงเทพ - บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,445.9 ล้านบาท และ 160.3 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 1,512.4 ล้านบาท และกำไรปกติ 228.5 ล้านบาท ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” มั่นใจผลการดำเนินงาน 4 กลุ่มธุรกิจแข็งแกร่ง ส่งซิกไตรมาส 4/2564 ผลการดำเนินงานโดดเด่น จ่อบุ๊ครายได้จากการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ ับข่าวดีเปิดประเทศ ธุรกิจโลจิสติกส์สดใส พื้นที่เช่าโรงงาน/คลังสินค้าโตต่อเนื่อง กลุ่มนิคมดีมานด์พุ่ง นักลงทุนต่างชาติจ่อลงทุนเพียบ ธุรกิจสาธารณูปโภคโดดเด่น ลูกค้าใช้บริการน้ำ-โซลาร์เพิ่มขึ้น ล่าสุดบอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.0267 บาทต่อหุ้น เล็งจ่าย 9 ธันวาคมนี้

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,445.9 ล้านบาท และ 160.3 ล้านบาท ลดลง10.3และ 62.6% โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,512.4ล้านบาท และ 228.5 ล้านบาท ลดลง 6.0และ 47.7เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2563 สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น4,724.7 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 555.2 ล้านบาท ลดลง 2.7และ 48.1% โดยหากพิจารณาผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 4,859.2 ล้านบาท และกำไรปกติ 694.8 ล้านบาท ลดลง 0.7และ 37.6จากช่วงเดียวกันของปี 2563 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมั่นใจในความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน และผลประกอบการประจำปีของบริษัทฯ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวด 9 เดือน ในอัตราหุ้นละ 0.0267 บาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 9ธันวาคม 2564 ตามลำดับ สอดคล้องกับการจัดอันดับเครดิตองค์กรโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ “A-” ที่ได้รับการปรับแนวโน้มมาเป็น “คงที่” สะท้อนถึงความมั่นคงของรายได้และกระแสเงินสดภายใต้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจน การมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ตลอดจนความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการบริหารการเงินท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19  

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจว่า ธุรกิจโลจิสติกส์มีผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่อง สำหรับไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 301.5 ล้านบาท และ 863.0 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 5.1%และ 0.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนสถานการณ์ความตึงเครียดของห่วงโซ่การผลิตโลก ทำให้ความต้องการโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูป และศูนย์กระจายสินค้าคุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเซ็นสัญญาเช่าระยะสั้นผลตอบแทนสูงไปแล้วกว่า 120,000 ตารางเมตร เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเมื่อพิจารณาเฉพาะไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเซ็นสัญญาพื้นที่โครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มเติมอีกกว่า 33,928ตารางเมตร รวมถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ส่งมอบโรงงาน Built-to-Suit พื้นที่รวม 8,151 ตารางเมตร ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2แก่บริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งชั้นแนวหน้าระดับโลก “ซิกโนด ซิสเท็มส์” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART ยังคงเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ สำหรับปี 2564 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำหน่ายทรัพย์สิน 3 โครงการ คิดเป็นพื้นที่เช่าทั้งสิ้น 184,329 ตารางเมตร และมีมูลค่ารวมไม่เกิน 5,550 ล้านบาท โดยทรัพย์สินของบริษัทฯ ทุกโครงการตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์การขนส่งสินค้าของประเทศไทย ผู้เช่าเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในกลุ่มธุรกิจ E-Commerce และ FMCG ได้แก่ “Alibaba Group-Shopee Xpress-ทีดีตะวันแดง” ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่ากองทรัสต์ WHART จะสามารถเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนได้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี 2564 นี้

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางธุรกิจและแสวงหา Synergy ผ่านการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ โดยช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในบริษัท Startups เพื่อต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ การขยายฐานธุรกิจและการสร้าง Business Model ที่แตกต่างจากธุรกิจเดิม อาทิ การเข้าซื้อหุ้น 29.40% ในบริษัท สตอเรจ เอเชีย จำกัด ผู้ให้บริการให้เช่าพื้นที่จัดเก็บทรัพย์สินส่วนบุคคลระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ “i-Store Self Storage” โดยตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป บริษัทฯ คาดว่าน่าจะเริ่มเห็นโครงการ หรือผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการประยุกต์ใช้ Innovative Technology ที่จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่บริษัทฯ ในอนาคต

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมสำหรับไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2564 รวม135.0 ล้านบา และ 826.8 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุหลักจากรายได้ค่าผ่านทาง (right of ways) ที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 อย่างไรก็ตาม ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 285 ไร่ (ไทย 248 ไร่/ เวียดนาม 37 ไร่) และยอดเซ็ MOU รวม 85 ไร่ (เวียดนาม) ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการลงทุนและยอด FDI ของประเทศไทยที่ดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี ตลอดจนจำนวน Enquiry ของนักลงทุนต่างชาติที่มีเข้ามามากกว่าปีที่แล้วทั้งปี นอกจากนี้นโยบายเปิดประเทศ มาตรการปลดล็อคการเดินทาง รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายจากการเร่งกระจายวัคซีนของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคจะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ประกอบกับในขณะนี้ ประเทศจีนมีปัญหาการขาดแคลนพลังงาน รวมถึงแนวโน้มต้นทุนพลังงานไฟฟ้าของประเทศจีนที่แพงขึ้นเนื่องจากนโยบายการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดที่ผลักดันให้กลุ่มนักลงทุนจีนและประเทศอื่นๆ มีความต้องการย้ายฐานการผลิตตามยุทธศาสตร์ China Plus One และแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและเวียดนามเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจว่ายอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยปีนี้จะเป็นไปตามหรือมากกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้เท่ากับ 750 ไร่ 

ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย 11 แห่ง โดยอยู่ระหว่างการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่เพิ่มเติมอีก 3 โครงการ โดยคาดว่านิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (WHA RY 36) จะดำเนินการสร้างเสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปี 2564 สำหรับการก่อสร้างส่วนต่อขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) จะเริ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ภายหลังจากผ่านการอนุมัติการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ซึ่งปัจจุบันได้รับการอนุมัติให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษก็จะเริ่มการก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2565 เช่นกัน

ประเทศเวียดนาม ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ริษัทฯ มียอดขายที่ดิน 37 ไร่ และยอด MOU 85 ไร่ ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากประเทศเวียดนามมีการล็อกดาวน์ประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้การส่งมอบพื้นที่เพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมมีความล่าช้ากว่ากำหนด อย่างไรก็ตาม ในฐานะประเทศที่มีศักยภาพด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่โดดเด่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศเวียดนามยังเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนบริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการก่อสร้างและจัดหาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามเพิ่มเติม ปัจจุบันเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 - เหงะอาน เสร็จสิ้นการก่อสร้างเฟส 1 ขนาดพื้นที่ 1,000 ไร่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีผู้เช่า 54% ของพื้นที่ บริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการก่อสร้างเฟส 2 บนพื้นที่ขนาด 2,100 ไร่ นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ได้แก่ WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa และ WHA Northern Industrial Zone ในจังหวัดถั่งหัว ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7,500 ไร่ โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคว่า ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในไตรมาสที่ผ่านมามีความโดดเด่น โดยบริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศสำหรับไตรมาส และ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 35 ลูกบาศก์เมตร และ 103ลูกบาศก์เมตร