สร้างวินัยการออมผ่านกองทุนSSF
นางสาวจอมขวัญ คงสกุล, CFA CAIA ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)
ทีมโฆษกและฝ่ายนโยบายธุรกิจจัดการลงทุน ได้ให้กล่าวในบทความก.ล.ต. ว่าตั้งแต่วันที่1 มกราคม2563 การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือLTF จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกต่อไปดังนั้นผู้ถือหน่วยจะไม่สามารถนำเงินค่าซื้อหน่วยตั้งแต่1 มกราคม2563 ไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกแต่การยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีครั้งนี้ไม่ได้เป็นการยกเลิกกองทุนที่มีอยู่ดังนั้นผู้ถือหน่วยLTF ยังคงลงทุนในกองทุนดังกล่าวต่อไปได้
•ยกเลิกสิทธิภาษีแต่ยังต้องถือLTF ให้ครบเงื่อนไข
ย้อนกลับไปเมื่อปี2547 รัฐบาลมีนโยบายในการจัดตั้งLTF และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนโดยมีเงื่อนไขที่จะต้องถือครองหน่วยลงทุนให้ครบ5 ปีปฏิทิน-ในปี2559 รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาสิทธิประโยชน์ทางภาษีจนถึงปี2562 และปรับปรุงเงื่อนไขการถือครองเป็น7 ปีปฏิทิน
ดังนั้นผู้ถือหน่วยที่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไปแล้วยังจำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขการถือครองให้ครบ5 ปีปฏิทินหรือ7 ปีปฏิทินแล้วแต่กรณี(เช่นหน่วยลงทุนที่ซื้อในปี2559 จะสามารถขายได้ในปี2565)โดยหากขายหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนดจะทำให้เสียสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับไปแล้วและต้องปฏิบัติดังนี้
1. นำเงินภาษีทั้งหมดที่ได้รับการยกเว้นไปคืนให้กับสรรพากรและเสียค่าปรับ1.5% ต่อเดือน(นับตั้งแต่เดือนที่ได้คืนภาษีจนถึงเดือนที่นำภาษีไปคืน) และ
2. หากมีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนต้องนำเงินกำไรที่ได้ไปรวมคำนวณเป็นเงินได้ในปีที่ขายคืนเพื่อเสียภาษีเงินได้(ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องเสียภาษี)
LTF ในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ3.9 แสนล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน2.3% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม(market capitalization) โดยมีปริมาณเงินเข้ากองLTF เฉลี่ยต่อปี2.6 หมื่นล้านบาทคิดเป็น0.15% ของmarket cap
กองใหม่SSF ได้สิทธิลดหย่อนวงเดียวกับการลงทุนเพื่อการเกษียณ
สิทธิลดหย่อนภาษีของLTF จะหมดไปแต่รัฐบาลมอบ“ของขวัญ” กล่องใหม่มาแทนที่นั่นคือกองทุนรวมเพื่อการออม(Super Savings Fund: SSF) เพื่อส่งเสริมการออมสำหรับทุกคนรวมถึงผู้เริ่มต้นทำงานกองทุนใหม่นี้มีนโยบายลงทุนที่หลากหลายไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่หุ้นเท่านั้นจึงเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แตกต่างกันรวมทั้งไม่ได้กำหนดให้ต้องลงทุนต่อเนื่องจึงมีความยืดหยุ่นสำหรับผู้ลงทุนที่อาจมีเงินออมไม่แน่นอนโดยผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนให้ครบ10 ปี(นับวันชนวัน) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีกองSSF ออกมาเสนอขายในต้นปี2563
ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของSSF ได้ไม่เกิน30% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน200,000 บาทโดยจะถูกนับรวมอยู่ในวงเดียวกับการลงทุนเพื่อการเกษียณ(กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกองทุนประกันสังคมกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการประกันแบบบำนาญเป็นต้น) ที่กำหนดวงเงินรวมสูงสุดต้องไม่เกิน500,000 บาทตัวอย่างเช่นเงินได้50,000 บาทต่อเดือนรายได้ต่อปีคือ600,000 บาทลงทุนในSSF ได้600,000 x 30% = 180,000 บาท
การปรับปรุงสิทธิลดหย่อนRMF
รัฐบาลได้ขยายเพดานการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือRMF จากเดิม15% เป็น30% ของเงินได้พึงประเมินทำให้ผู้มีรายได้ที่มีศักยภาพสามารถออมได้มากขึ้นตัวอย่างเงินได้50,000 บาทต่อเดือนรายได้ต่อปีคือ600,000 บาทลงทุนในRMF เดิมได้600,000 x 15% = 90,000 บาทใหม่ได้600,000 x 30% = 180,000 บาทและเมื่อรวมกับSSF ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ถึง360,000 บาทนอกจากนี้ยังได้ยกเลิกเงินลงทุนขั้นต่ำ5,000 บาทแต่ผู้ลงทุนยังคงต้องมีการลงทุนต่อเนื่องทุกปี(เว้นได้ไม่เกิน1 ปีติดต่อกัน)
ความสำเร็จในการสร้างวินัยการออมของประชาชนผ่านการลงทุนในครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่มองเห็นโอกาสอันดีเพื่อช่วยกันสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคงให้แก่คนในชาติของเรา