STGT โชว์ Q2 ทำรายได้รวม 12,967.7 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องแม้ปิดโรงงานชั่วคราว


บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอัตรา 1.25 บาทต่อหุ้น
ในเดือนกันยายน และอีกไม่น้อยกว่า 1.25 บาทต่อหุ้นในเดือนธันวาคม

พร้อมเดินหน้าฉีควัคซีนทางเลือกแก่พนักงานครบ เข็มแล้วทุกคน 

 

บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ทำรายได้รวม 12,967.7 ล้านบาท หนุนภาพรวมรายได้ครึ่งปีแรกโดดเด่น แม้ปิดโรงงานตรังและสุราษฎร์ธานีชั่วคราวหลังพบพนักงานติด COVID-19 จากการปรับแผนรองรับอย่างรวดเร็ว ด้านบอร์ดมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล อัตราหุ้นละ 1.25 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 23 สิงหาคมนี้ พร้อมจ่ายปันผลอีกไม่น้อยกว่า 1.25 บาทต่อหุ้น ในเดือนธันวาคม ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังคาดรับผลดีจากความสามารถผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้น หลังเปิดโรงงานสุราษฎร์ธานี และ
สุราษฎร์ธานี แล้ว เตรียมทยอยเปิดโรงงานอีก แห่งในจังหวัดตรังและอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ตามแผน

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้มีการปิดโรงงานตรังและโรงงานสุราษฎร์ธานีชั่วคราวในช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากพบพนักงานติด COVID-19 โดยมีรายได้รวม 12,967.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164.7จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 7,280.1ล้านบาท เพิ่มขึ้น 590.5จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจาก
ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 23สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 7กันยายน 2564 และอีกไม่น้อยกว่า 1.25 บาทต่อหุ้น ที่จะจ่ายในเดือนธันวาคม ภายหลังการอนุมัติงบไตรมาส 3/2564 ด้วยเช่นกัน

 

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด เดือนแรกปี 2564 ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 28,401.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 227.4จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 17,331.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,068.7จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลกที่มีอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่จากไวรัสกลายพันธุ์ และใช้เพื่อการฉีดวัคซีน ประกอบกับบริษัทฯ ได้เดินเครื่องจักรโรงงานสุราษฎร์ธานี เป็นที่เรียบร้อย ส่งผลดีต่อกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น

กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะได้รับผลดีจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผานมาได้เดินเครื่องจักรโรงงานสุราษฎร์ธานี 3 เป็นที่เรียบร้อย และจะทยอยเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่อีก แห่ง ได้แก่ โรงงานในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และโรงงานตรัง ภายในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถผลิตถุงมือยางเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 36,000 ล้านชิ้นต่อปี จากเดิม 33,000 ล้านชิ้นต่อปี 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน โดยการจัดหาวัคซีนทางเลือก
ซิโนฟาร์มแก่พนักงานทุกคน ความคืบหน้าล่าสุดได้ฉีดวัคซีนทางเลือกดังกล่าวแก่พนักงานครบ เข็มทุกคนแล้ว และได้เพิ่มมาตรการด้านสุขอนามัยภายในโรงงานร่วมกันไปด้วย