ข้อมูลหุ้นNER
NER ตอกย้ำปี 2564 คาดมีรายได้โตไม่น้อยกว่า 30% หรือที่ประมาณ 22,000 ล้านบาท และอาจมีการปรับเป้าประมาณการยอดขายใหม่ใน Q2 ตามความต้องการใช้ยางพาราในธุรกิจอุตสาหกรรมมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และราคายางเฉลี่ยปี 64 จะสูงกว่าปี 63
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยถึงเป้าหมายการเติบโตในปี 2564 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 22,000 ล้านบาท จากปริมาณการขายยางพาราอยู่ที่ 410,000 ตัน โดยบริษัทมีกำลังการผลิตทั้งหมด 465,000 ตัน จากการที่ทั่วโลกสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษไอเสียรถยนต์สู่อากาศนั้น ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการประเมินภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราในปี 2564 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากปี 2563 และอาจทำให้บริษัทต้องมีการปรับเป้าหมายของยอดขายใหม่ใน Q2และคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565
ด้านราคายางพาราเฉลี่ยในปี 2564 จะสูงกว่าปี 2563จากภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศจีนที่กลับมาเติบโตได้ดี โดยจีนเป็นหนึ่งในประเทศผู้บริโภคยางพารารายใหญ่ของโลก ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ยางเพื่อการผลิตยางล้อในอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงได้รับผลดีจากการดึงความต้องการใช้ยางธรรมชาติ ที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติม สำหรับสัดส่วนรายได้ปี 2564 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 60% , ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆอีก 20% เช่น สิงคโปร์ บังคลาเทศ เป็นต้น ทางบริษัทมีประมาณการณ์ในการเพิ่มกลุ่มลูกค้าอินเดีย เพื่อให้เกิดส่วนแบ่งทางการตลาดอุตสาหกรรมยางธรรมชาติออกจากประเทศจีน ทั้งนี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาลูกค้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงอย่างเดียว มองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่ แต่ปริมาณของผู้ส่งออกยางธรรมชาติในประเทศไทยมีปริมาณลดลง
นอกจากนี้สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (ARPC) คาดการณ์ปี 2021 ความต้องการใช้ยาง ธรรมชาติของโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 8-10% (เทียบกับปี 2020 ปรับตัวลดลง -15%) ขณะที่ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มองว่าสถานการณ์ผลผลิตยางพาราโลกในปี 2021 ต่อเนื่องถึงปี 2022 จะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้โดยเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปี 2020 ที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ การใช้ยางธรรมชาติกลับมาดำเนินธุรกิจกันใหม่และต่างเดินเครื่องกันเต็มกำลังการผลิต ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วางเป้าหมายการผลิตรถยนต์ของไทยปี 2021 ที่ 1.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 5.12 % จาก1.42 ล้านคันในปีก่อนสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้ยาง รถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น และคาดว่าความต้องการใช้ถุงมือยางจะเติบโต 25% ในปี 2021 และ 20% ในปี 2022 จากปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลให้ราคายางแผ่นดิบและยางแผ่นรมควันจะเป็นราคาเฉลี่ยที่ 65-70 บาทต่อกิโลกรัมนับจากนี้
บล.ไทยพาณิชย์ ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ซึ่งมีมุมมองบวก โดยคาดว่าผลประกอบการปี 2564 จะทำกำไรสูงสุดต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีกำไรปกติที่ 1,131 ล้านบาท เติบโต 32% โดยมีปัจจัยหนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/63 ราว 55% สู่ระดับ 4.6 แสนตัน ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับปริมาณการขายยางพาราที่จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของกลุ่มลูกค้ายานยนต์ โดยเฉพาะจีนได้ รวมถึงราคายางที่ยังทรงตัวระดับสูง
นอกจากนี้ ยังมองว่ายังมี Upside Risk ที่ต้องติดตาม คือแผนขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP ให้คู่ค้า เพื่อขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าให้ยั่งยืนมากขึ้น โดยมติเดิมขอ เพิ่มทุนแบบ General mandate ไว้ 161.5 ล้านหุ้น (10% ของหุ้นชำระแล้ว) แม้ระยะสั้นจะเกิด Share Dilution Effect 10% แต่คาดจะเพิ่มโอกาสเติบโตของกำไรในระยะยาว
และยังมี Upside Risk จากการที่มีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ อาทิ โรงไฟฟ้าชีวมวล 4.3MW ซึ่งเตรียมเข้าประมูล มี.ค. นี้ อีกทั้งยังอยู่ระหว่างศึกษาแผนนำเข้าเมล็ดและปลูกกัญชง ซึ่งยังไม่รวมในประมาณการ
กลยุทธ์การลงทุนมองว่า NER เป็นหุ้น Growth Stock ที่น่าสนใจ โดยประเมินกรอบราคาเป้าหมาย 5.60-7.00 บาท โดยแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลงในบริเวณเส้นค่าเฉลี่ยที่ 5.25-5.15 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะมี Upside กว้างมากกว่าราคาปัจจุันและมีความปลอดภัยกว่า
บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) NER
ลักษณะธุรกิจ
NER ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ 3 ประเภท ได้แก่ ยางแผ่นรมควัน (Ribbed Smoked Sheet : RSS) ยางแท่ง (Standard Thai Rubber: STR) และยางผสม (Mixtures Rubber) เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย )สัดส่วนการขายในประเทศอยู่ที่ 60.01% และต่างประเทศ 39.84%
กำลังผลิต 515,600 ตันต่อปี ยางแผนรมควันอยู่ที่ 60,000 ตันต่อปี มีกำลังผลิตยางแท่งและยางผสมอยู่ที่ 172,800 ตันต่อปี
นโยบายการจ่ายเงินปันผลแต่ละปีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ 12/03/2021
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) 4,621
% การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (%Free float) 38.19
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ %
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ 32.58
1. นาย จิรายุส จึงธนสมบูรณ์ 4.95
2. นาย ทวีวัฒน์ สุวรรณชาศรี 2.68
3. นาย ทวีวัฒน์ สุวรรณชาศรี 2.68