บสย.โชว์เป้า “ค้ำฯ เติมทุน”ทะลุ 1 ล้านล้านบาท ฉลองก้าวสู่ปีที่ 30

บสยเพื่อนแท้ SMEs ไทย ประกาศความสำเร็จประเดิมก้าวสู่ปีที่ 30 ด้วยผลงาน “ยอดค้ำประกันสินเชื่อสะสมผ่านเส้นชัย 1 ล้านล้านบาท” ตอกย้ำบทบาทสำคัญสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ กลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่าบสยเริ่มต้นศักราชใหม่ ปี 2564 ด้วยผลงานความสำเร็จแรกแห่งปี “ค้ำฯ เติมทุน” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ เป็นผลสำเร็จ ด้วยยอดการค้ำประกันสินเชื่อสะสม ทะลุ 1 ล้านล้านบาท บันทึก  วันที่  29 มกราคม 2564 ด้วยวงเงิน 1,000,493 ล้านบาท (หนึ่งล้านสี่ร้อยเก้าสิบสามล้านบาทโดยบรรลุเป้าหมายเร็วกว่าแผนงานเดิม 2 ปี นับเดิมที่ บสยได้เคยมีประกาศไว้ในปี 2561 ตั้งเป้าครบล้านล้านบาทภายในปี 2566  ตอกย้ำความมุ่งมั่น ทุ่มเท พยายามด้วยความรับผิดชอบ ต่อบทบาทและการทำหน้าที่กลไกของรัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ส่งผ่านความช่วยเหลือครบทุกมิติ  ทั้งการสร้างสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยเป็นมูลค่ามากกว่า  1.42 ล้านล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 560,000 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 1.11 ล้านตำแหน่ง รักษาการจ้างงานกว่า 7 ล้านตำแหน่ง เป็นเครื่องมือสำคัญสร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้เพียง 2 ใน 3 ไฮไลท์สำคัญตลอดระยะเวลา 29 ปีที่ผ่านมา ของการทำหน้าที่ในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง คือ การเป็นเครื่องมือของรัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญทุกมิติ ผ่านกลไกค้ำประกันสินเชื่อ นับตั้งแต่ บสยจัดตั้งขึ้น ภายใต้ “พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ..2534” ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 400 ล้านบาท และเริ่มดำเนินกิจการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs แบบIndividual Guarantee สู่ปฐมบทการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกรัฐ ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นต้นมา โดยมียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ ปีแรก 168 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 140 ราย

 

ในปี 2543 รัฐบาลเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 4,000 ล้านบาท ส่งผลให้ บสยสามารถสร้างยอดค้ำประกันสินเชื่อ ในปี2544 พุ่งทะยานจากหลักร้อยล้าน สู่หลักพันล้าน ปิดยอดค้ำฯ ที่ 2,505 ล้านบาท จากนั้นรัฐบาลได้เพิ่มทุนจดทะเบียนให้ บสยอีก 2 ครั้งในปี 2551 และปี 2552 ทำให้มีทุนจดทะเบียนรวม 6,839.94 ล้านบาท

ในปี 2552 บสยได้นำการเปลี่ยนแปลงมาเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจครั้งสำคัญ มีการปรับรูปแบบการค้ำประกันสินเชื่อจากการค้ำประกันแบบ Individual Guarantee เป็น Portfolio Guarantee Scheme เพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นใจแก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ การปรับรูปแบบการค้ำประกันสินเชื่อครั้งใหม่ ส่งผลให้ยอดค้ำประกันสินเชื่อ เติบโตก้าวกระโดดจากหลักพันล้านบาท สู่หลักหมื่นล้านบาท โดยปิดยอดค้ำประกันสินเชื่อ ที่ 21,558 ล้านบาท จากนั้น ในปี 2553 ยอดค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มขึ้นเท่าตัวที่ 42,585 ล้านบาท และมียอดค้ำประกันสินเชื่อสะสมครบแสนล้านบาท  ต่อเนื่องมาในปี 2556 ยอดค้ำประกันสินเชื่อ สะสมเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนล้านบาท และ ในปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น  5 แสนล้านบาท ตามลำดับ

ในปี 2560 มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ 2) แก้ไขเพิ่มเติม” ขยายขอบเขตการค้ำประกันสินเชื่อให้ครอบคลุมธุรกรรมแฟ็คเตอร์ริ่ง เช่าซื้อ และลิสซิ่ง รวมถึงธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ และขยาย “นิยาม” ของสถาบันการเงิน ให้ บสยสามารถค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม Non-Bank การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 2561 บสยมียอดค้ำประกันสะสมเพิ่มเป็น 7 แสนล้านบาท ในปีนั้น บสยจึงประกาศตั้งเป้าช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ให้ครบ 1 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2566



นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ภายใต้การเข้ามาบริหารจัดการของ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร บสยได้ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ สู่การ Transform องค์กร สอดรับการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ปรับ Mind set การทำงานแบบเชิงรุก คิดใหม่ ทำใหม่ ปรับกระบวนการทำงานภายใน ควบคู่กับการบริหารวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ประกอบการ SMEs ทุกภาคส่วน ทั้งการท่องเที่ยวโรงแรม ธุรกิจบริการ ร้านอาหาร ในฐานะเครื่องมือของรัฐ บสยได้รับมอบหมายให้ดำเนินมาตรการตามนโยบายรัฐบาลร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อผ่านกลไกการค้ำประกันกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้ประกอบการ SMEs และ รายย่อย กลุ่มอาชีพอิสระ เข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยผลดำเนินงาน สิ้นสุดปี 2563 บสยสามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อมากกว่า 166,000 ราย และมียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน 141,888 ล้านบาททุบสถิติในรอบ 29 ปีนับจากการก่อตั้ง บสยอีกทั้งยังได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ อีกครั้ง ประเดิมผลงานแรกปี2564 ประสบความสำเร็จ  วันที่ 29 มกราคม 2564 บสยได้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ด้วยยอดค้ำประกันสินเชื่อสะสมครบ  1 ล้านล้านบาท สำเร็จ และเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ 2 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs 560,000 ราย หรือประมาณ 20% ของจำนวน SMEs ในประเทศ



ดร.รักษ์ กล่าวว่า เป็นการก้าวสู่ปีที่ 30  ของ บสยที่ท้าทาย จากความผันผวนทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ระลอกใหม่ โดยในปี 2563 พบว่าการจดทะเบียนเลิกกิจการ มีจำนวน 20,920 รายมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 91,859 ล้านบาท  เกิดการเลิกจ้าง และลดเงินเดือน ขณะที่กลุ่มอาชีพอิสระ ขาดเงินหมุนเวียนและกลุ่ม SMEs เกิดใหม่ ต้องการเงินทุน และยังมีกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีปัญหาการค้างชำระ ต้องการพักชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และต้องการสินเชื่อ ต้นทุนต่ำ 1,000,493 ล้านบาท (หนึ่งล้านสี่ร้อยเก้าสิบสามล้านบาท)

การค้ำประกันสินเชื่อ คือกลไกหลักเชื่อมโยงระหว่างเงินทุนกับผู้ประกอบการ SMEs ที่สำคัญมากโดย บสยพร้อมเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจและดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่ในทุกมาตรการเพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อและแหล่งทุน” ดร.รักษ์ กล่าว

ภายใต้วิสัยทัศน์ (Vision) บสย. “เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสทางธุรกิจแห่งชาติให้แก่ SMEs เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน” และ ค่านิยมองค์กร (Corporate Values) T (True innovative financial-partner for SMEs) เป็นคู่คิดทางการเงิน C (Connectivity for business possibilities) เชื่อมโยง SMEs สู่โอกาสทางธุรกิจ G (Governance for sustainable growth) เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยหลักธรรมาภิบาล โดยผลดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ  31 มกราคม2564 อนุมัติวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 10,680 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 21,103 ราย และอนุมัติหนังสือค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน  30,133 ฉบับ โดยมี 3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อสูงสุดคือ 1.โครงการ บสย. SMEs ไทยสู้ภัยCOVID-19 วงเงิน 3,900 ล้านบาท 2.โครงการ บสย. SMEs ดีแน่นอน วงเงิน 2,788 ล้านบาท และโครงการ บสย. Micro ไทยสู้ภัยโควิด 1,041 ล้านบาท