MFC ปลื้มกอง“อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต” จองล้น มั่นใจตลาดเกิดใหม่ผลตอบแทนสูง

บลจ.เอ็มเอฟซี สุดปลื้ม! กองทุน “อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต” ยอดจองทะลัก 2,277 ล้านบาท จนต้องจดทะเบียนเพิ่มขนาดกองทุนเป็น 5,000 ล้านบาท รองรับความต้องการนักลงทุน มั่นใจแนวโน้มผลประกอบการบจ.ตลาดเกิดใหม่ในปี 64  ฟื้นตัว ได้ดีกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ดันผลตอบแทนแจ่ม

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์  กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) (MFC) เปิดเผยว่า เอ็มเอฟซีประสบความสำเร็จในการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกของกองทุน อีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต MFC Emerging Market Fund (M-EM)   ที่เปิดขายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 12 - 19 มกราคม 2564) มียอดจองซื้อ 2,277 ล้านบาท ซึ่งเกินจำนวนมูลค่าโครงการ  บริษัทจึงได้จดทะเบียนเพิ่มมูลค่าโครงการเป็น 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการลงทุนที่มีอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดซื้อขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมได้ตั้งแต่วันที่  22  มกราคม 2564  เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ

กระแสตอบรับกองทุน M-EM ดีเกินคาด มียอดจองซื้อหน่วยลงทุนเกินมูลค่าโครงการที่ขอจดทะเบียนไว้ เพราะนักลงทุนมั่นใจแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่ในปี 2564 ที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นเทียบตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่งผลดีกับตลาดหุ้นเกิดใหม่”  ทั้งนี้  กองทุนอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต (M-EM) มีนโยบายที่เน้นสร้างผลตอบแทนผ่านการลงทุนมีนโยบายที่เน้นสร้างผลตอบแทนผ่านการลงทุนในกองทุนดีกรี Morningstar 5 ดาว บริหารโดยทีมจัดการกองทุนชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Baillie Gifford โดยมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ทั่วโลก ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯแนวทางการลงทุนระยะยาวแบบเชิงรุก (Long-term & Active) ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตของกำไรสูง และมีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมในตราสารทุนจำนวน 35-60 หลักทรัพย์  อีกทั้งมีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน (Efficient Portfolio Management)

โดยปกติแล้ว ในอดีตช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น อีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี ซึ่งครั้งนี้ก็มีแนวโน้มเช่นนั้น จากหลายปัจจัยสนับหนุน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก นำโดยจีนและอินเดีย และความคืบหน้าของการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลก ต่างงัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงแนวโน้มความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ลดลงหลังทรัมป์เสียตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯให้กับไบเดน ทำให้กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตของกำไรสูงในตลาด อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนที่เน้นลงทุนระยะยาว ยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง คาดหวังผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาล” นายธนโชติกล่าวในที่สุด