ชาวนาSME

“Chaobaan Organic” เกษตรกรคิดใหม่อาชีพชาวนาก็รวยได้

อาชีพทำนาของชาวนาไทยส่วนใหญ่จะต้องคลุกวนเวียนอยู่กับความยากจน  หนี้สินพอกพูนและสุขภาพย่ำแย่เพราะต้องใกล้ชิดกับสารเคมีตลอดเวลา  นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของฐิติภัทร์สุขเกษม” มาตลอดเนื่องจากเกิดและเติบโตในครอบครัวที่ประกอบอาชีพทำนามายาวนาน  ในพื้นที่.นครสวรรค์



ตั้งแต่จำความได้เห็นคุณพ่อทำนาทั้งหนักและเหนื่อยแต่ครอบครัวก็ยังไม่รวยเสียทีฐานะยังอยู่แบบพอมีพอกินเท่านั้น  เพราะต้องพบเจอปัญหาข้าวราคาตกต่ำ  แถมเป็นหนี้เป็นสินนอกระบบเรื่อยมา  ดังนั้นจึงมีความคิดว่าหากต้องสานอาชีพชาวนาต่อจากคุณพ่อแล้วฐานะยังเหมือนเดิมขอหยุดความคิดในอาชีพชาวนาไว้ก่อนแต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นตอนเรียนใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัย  เวลานั้นรัฐบาลกำลังมีโครงการรับจำนำข้าว  ตันละ15,000 บาทซึ่งเป็นราคาที่จูงใจมาก 

ตอนนั้นเหมือนรัฐบาลจัดโปรโมชั่นให้คนทำนาเพราะราคาสูงกว่าตลาดมากทำแล้วมีกำไรแน่ผมเลยเริ่มหันมาสนใจหาความรู้การทำนาทฤษฏีใหม่เพื่อจะหาทางลดต้นทุน  ช่วยให้การทำนาที่บ้านเมื่อหักต้นทุนแล้วจะได้เงินมากขึ้น” ฐิติภัทร์เล่าถึงบันไดขั้นแรกที่เข้าสู่อาชีพเกษตรกร

จากไม่เคยสนใจอาชีพทำนามาก่อนเลย  เริ่มเข้ามาช่วยงานครอบครัว  ด้วยเหตุผลสำคัญอยากจะแบ่งเบาภาระคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องทำงานหนักและเหนื่อยหนักอีกต่อไป  ด้วยวัย23 ปีเขาตัดสินใจยึดอาชีพเกษตรกรปลูกข้าวจริงจัง  โดยหลังจากหมดโครงการรับจำนำข้าว  ต้องหาหนทางที่จะไม่ต้องประสบปัญหาเดิมๆเบื้องต้นเขาอาศัยที่นาของครอบครัวจำนวน15 ไร่  ทดลองปลูกข้าวไรซ์เบอรี่” เพราะเห็นโอกาสจากที่คนไทยหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น  ซึ่งเมื่อ7-8 ปีที่แล้วข้าวไรซ์เบอรี่กำลังเริ่มได้รับความนิยมจากคนไทยใหม่ๆ   


ฐิติภัทร์เล่าว่าเนื่องจากเวลานั้นยังเป็นมือใหม่ในวงการ  ช่วงแรกจึงเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค  โดยเฉพาะเมื่อต้องไปว่าจ้างโรงสีทำการสีข้าวจึงมีต้นทุนการผลิตสูงและไม่สามารถควบคุมคุณภาพข้าวได้ตามต้องการอย่างเต็มที่  รวมถึงเวลานั้นยังไม่มีตลาดรองรับแน่นอน  ช่วงแรกจึงเปรียบเสมือนการลองผิดลองถูกและเรียนรู้ข้อเท็จจริงว่าการจะทำอาชีพเกษตรให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 


ประเด็นสำคัญที่เกษตรกรหนุ่มเล็งเห็นคือหากจะทำนาแบบเดิมๆคือปลูกข้าวเองแล้วไปว่าจ้างโรงสีให้สีข้าวตามต้องการเพื่อจะส่งขายต่อให้บริษัทค้าข้าวรายใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว  วิธีนี้ยากที่ประสบความสำเร็จได้เพราะมีต้นทุนสูง  และมักถูกกดราคา  ดังนั้นเปลี่ยนความคิดและวิธีปฏิบัติ  โดยมุ่งหาตลาดที่ต้องการสินค้าข้าวอินทรีย์” คุณภาพสูง  ควบคู่กับสร้างเครือข่ายเกษตรกรให้ปลูกข้าวคุณภาพตามตลาดต้องการ  ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ขายสินค้าได้มูลค่าสูงขึ้น   


หนุ่มวัย29 ปีขยายความว่า  เมื่อปีที่แล้วได้ไปส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ต่างๆเช่นนครสวรรค์พิจิตรชัยนาทและอุทัยธานีเป็นต้นปลูกข้าวอินทรีย์100%”  หลังจากนั้นจะรับซื้อผลผลิตที่ได้ทั้งหมดเพื่อนำไปขายให้แก่ลูกค้าที่ต้องการสินค้าข้าวอินทรีย์เกรดพรีเมียม  ภายใต้เงื่อนไขที่มีการทำสัญญากับเครือข่ายอย่างชัดเจนว่า  ผลผลิตต้องได้คุณภาพตามกำหนด 



วิธีการดังกล่าวหัวใจสำคัญต้องสามารถซื้อใจเกษตรกรที่จะมาร่วมเป็นเครือข่ายให้จงได้  ดังนั้นเมื่อกลุ่มผู้ปลูกเข้ามาเป็นเครือข่ายแล้วจะได้รับการสนับสนุนให้ประกอบอาชีพทำนาอย่างมีสุขและมีรายได้อย่างเป็นธรรม  โดยจะได้รับการสนับสนุนครบวงจรตั้งแต่จัดการเมล็ดพันธุ์ข้าวและปุ๋ยอินทรีย์ให้ทั้งหมด  และที่สำคัญประกันราคารับซื้อสูงกว่าท้องตลาดทั่วไป  โดยเมื่อเกษตรกรนำข้าวที่ปลูกมาส่งให้แล้วจะจ่ายเป็นเงินสดทันที 


ผมเป็นลูกชาวนาทำให้รู้ปัญหาและความต้องการของคนทำนาได้ดีว่า  จริงๆชาวนาไม่อยากจะปลูกข้าวโดยใช้สารเคมีเลยแต่ที่ผ่านมาจำเป็นต้องทำเพื่อจะได้ผลผลิตปริมาณมากๆในเวลารวดเร็วเพื่อจะรีบขายข้าวให้ได้เงินไปใช้หนี้และมาลงทุนซื้อเมล็ดข้าวปลูกในรอบต่อไป  แต่ที่ผ่านมายิ่งทำก็ยิ่งติดลบ  ผมมองเห็นช่องทางที่จะช่วยกลุ่มเครือข่ายได้จึงทำหน้าที่เป็นผู้หาตลาดให้โดยกลุ่มเครือข่ายมีหน้าที่ปลูกให้ได้ข้าวคุณภาพดีตามสเปคที่ตกลงกัน”   


ปัจจุบันจากอาชีพชาวนาธรรมดาเปลี่ยนเป็นดำเนินธุรกิจเต็มรูปแบบโดยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลบริษัทชาวบ้านออแกนิคจำกัด(Chaobaan Organic) มีเครือข่ายสมาชิกเกษตรกรเกือบ10 กลุ่มปริมาณรับซื้อข้าวเปลืองจากสมาชิกปีละกว่า2,500 ตันทั้งนี้ด้วยกระบวนการที่ต้องจ่ายเงินสดทันทีเมื่อเครือข่ายนำผลผลิตมาส่งให้  ฐิติภัทร์ยอมรับว่าจำเป็นต้องมีสภาพคล่องเตรียมสำรองไว้สูงมาก  ซึ่งจุดนี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐโดยกระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) หรือSME D Bank  ช่วยเติมทุนหมุนเวียนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษในโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ 


ธุรกิจของผมเปรียบเสมือนรถธรรมดา  แต่เมื่อได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนประชารัฐโดย  SME D Bank ก็เหมือนรถติดเทอร์โบ  เติบโตอย่างรวดเร็ว  เพราะการมีแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและทำให้เรากล้าตัดสินใจในการลงทุนขยายธุรกิจจากยอดขายเริ่มต้นในปี2559 จำนวน3,100,000 บาทบาทจนถึงปี2561 มียอดขาย36,000,000 บาท”    


นอกจากนั้น  ได้ขอสนับสนุนเงินทุนจากSME D Bank เพิ่มเติม  เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจ  ตั้งแต่สร้างโรงสีข้าวพร้อมลงทุนเครื่องจักรของตัวเองมูลค่า7,000,000 บาทเพื่อจะควบคุมคุณภาพสินค้าได้ดียิ่งขึ้นในขณะเดียวกันลดต้นทุนการผลิตไม่ต้องไปว่าจ้างโรงสีข้าวภายนอกอีกต่อไป  นอกจากนั้นกำลังทำการวิจัยและพัฒนานำผลผลิตและวัตถุดิบเหลือจากการผลิตมาทำเป็นสินค้าต่างๆภายใต้แบรนด์  Chaobaan Organic  ของตัวเองไม่ว่าจะเป็นข้าวไรซ์เบอรี่เกรดพรีเมียมบรรจุถุง  น้ำมันจมูกข้าวไรซ์เบอรี่สกัดเย็นและแป้งข้าวไรซ์เบอรี่เป็นต้น 


ด้วยวัยเพียง29 ปี  ฐิติภัทร์ก้าวเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจข้าวออแกนิกครบวงจรในพื้นที่.นครสวรรค์  พร้อมกับมีฝันว่าในระยะเวลา3-5 ปีจากนั้น  จะขยายความคิดและกระบวนการทำเกษตรอินทรีย์ไปสู่ผลผลิตการเกษตรชนิดอื่นๆต่อไป  ซึ่งจะก่อประโยชน์ดีแก่ทุกฝ่ายตั้งแต่ผู้บริโภคได้รับประทานสินค้าเกษตรคุณภาพดีปลอดภัยต่อสุขภาพ  สภาพแวดล้อมกลับมาอุดมสมบูรณ์ 


และที่สำคัญ  เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่  สุขภาพและฐานะการเงินดีขึ้น  โดยไม่ต้องจมอยู่กับความยากจนและหนี้สินอีกต่อไป