ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชี้สัญญาณอันตรายหนี้ธุรกิจ SME

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชี้สัญญาณอันตรายหนี้ธุรกิจ SME อาการโคม่า-ลามถึงรายใหญ่ ชงรัฐ - แบงก์เร่งแก้หนี้เชิงรุก

กรุงเทพฯ – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกโรงเตือนสถานการณ์หนี้ภาคธุรกิจไทยน่าเป็นห่วงกว่าตัวเลขที่เห็น ชี้ชัดธุรกิจขนาดเล็ก (SME) และรายย่อยอาการโคม่าด้วยตัวเลขหนี้เสีย (NPL) พุ่งสูง ขณะที่สัญญาณอันตรายเริ่มลามถึงธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ในบางภาคส่วน พร้อมย้ำถึง "นาทีทอง" ในการช่วยเหลือลูกหนี้ ชี้หากช่วยเร็วโอกาสรอดสูง แต่หากปล่อยทิ้งไว้โอกาสฟื้นแทบเป็นศูนย์ แนะทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาก่อนจะบานปลาย

แม้ภาพรวมตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของระบบอาจยังดูไม่น่ากังวล แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเจาะลึกข้อมูลเครดิตบูโรและพบความจริงที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น โดยเฉพาะ หนี้ที่เริ่มค้างชำระ 1-3 เดือน กำลังขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นสัญญาณเตือนว่าหนี้ก้อนใหญ่นี้พร้อมจะกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัวอย่างทั่วถึง ส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย ซึ่งมีสัดส่วน NPL ในระดับสูงมาก ได้แก่:

  • กลุ่ม Super Micro บุคคลทั่วไป : NPL สูงถึง 14.81%

  • กลุ่ม Micro ธุรกิจที่มีเจ้าของคนเดียว : NPL อยู่ที่ 12.11%

  • กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก (SME): NPL อยู่ที่ 6.51%

ที่น่ากังวลคือ ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ธุรกิจรายเล็ก แต่เริ่มลามไปถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรม ที่พักและโรงแรม, ค้าส่ง-ค้าปลีก และ ก่อสร้าง-อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มเห็นสัญญาณความเปราะบางมากขึ้น

ศูนย์วิจัยฯ ย้ำว่า แม้สถานการณ์จะน่าเป็นห่วง แต่ยังไม่สายเกินไปหากทุกฝ่ายลงมือให้ถูกจังหวะ โดยชี้ว่ามี "นาทีทอง" ในการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างชัดเจน

  • ถ้าช่วยเร็ว โอกาสรอดสูง: ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มมีปัญหา (ค้างชำระไม่เกิน 2 เดือน) หากได้รับการปรับโครงสร้างหนี้อย่างถูกต้อง มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติถึง 35%

  • ถ้าปล่อยไว้ โอกาสรอดน้อยมาก: แต่หากปล่อยให้กลายเป็นหนี้เสียเต็มตัว (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) โอกาสที่จะกลับมาฟื้นตัวได้จะเหลือไม่ถึง 10%

ทางออกของปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ดังนี้:

  1. สำหรับผู้ประกอบการ (ลูกหนี้): "ถ้าเริ่มไม่ไหว ให้รีบไปคุยกับแบงก์" การเข้าไปเจรจาตั้งแต่เนิ่นๆ คือทางรอดที่ดีที่สุด อย่ารอจนกลายเป็นหนี้เสีย เพราะจะทำให้การช่วยเหลือทำได้ยากขึ้น

  2. สำหรับธนาคาร (เจ้าหนี้): "ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยก่อน" เปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นการทำงานเชิงรุก เข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีสัญญาณอันตรายก่อนที่จะกลายเป็น NPL โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เช่น การปรับเงื่อนไขผ่อนชำระ การพักหนี้ หรือโครงการพักทรัพย์พักหนี้ (Asset Warehousing)

  3. สำหรับภาครัฐ: "ต้องสร้างบรรยากาศให้คนทำมาค้าขายได้" นอกจากการออกมาตรการช่วยเหลือเฉพาะหน้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ กลับมามีรายได้และแข็งแรงพอที่จะชำระหนี้ได้ในระยะยาว