เบอร์กเชียร์ ปรับพอร์ตใหญ่ Q2 ทุ่มลงทุนหุ้นอสังหาฯ-สุขภาพ สวนทางลดสัดส่วนเทคฯ ช้อนซื้อ UNH, Lennar, D.R. Horton

เบอร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) บริษัทลงทุนของมหาเศรษฐี วอร์เรน บัฟเฟตต์ เปิดเผยการปรับพอร์ตการลงทุนครั้งสำคัญในไตรมาสที่ 2 โดยเข้าซื้อหุ้นใน 5 บริษัทใหม่ นำโดยกลุ่มสุขภาพและอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันได้ลดสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการเงิน สะท้อนการกระจายความเสี่ยงและมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจพื้นฐาน

การเปลี่ยนแปลงพอร์ตโฟลิโอครั้งนี้ สะท้อนกลยุทธ์ของเบอร์กเชียร์ที่หันมาให้ความสำคัญกับหุ้นในกลุ่ม "เศรษฐกิจจริง" (Real Economy) มากขึ้น โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้

เดิมพันหนักในกลุ่มที่อยู่อาศัย รับเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง

เบอร์กเชียร์ได้ทุ่มเงินลงทุนครั้งใหญ่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเข้าซื้อหุ้น D.R. Horton (DHI) มูลค่าราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Lennar (LEN) มูลค่ากว่า 798 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความเชื่อมั่นว่าตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ จะกลับมาฟื้นตัว โดยอาจได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัวและมีโอกาสปรับลดลงในอนาคต ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค

ช้อนซื้อ UnitedHealth (UNH) ดันราคาหุ้นพุ่งทันที

นอกเหนือจากกลุ่มอสังหาฯ การเข้าซื้อหุ้น UnitedHealth (UNH) ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านประกันสุขภาพ จำนวนราว 5 ล้านหุ้น ได้สร้างความสนใจให้กับตลาดอย่างมาก และส่งผลให้ราคาหุ้น UNH พุ่งขึ้นทันทีกว่า 7-8% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ (After-Hours Trading) แม้ว่ามูลค่ากิจการจะปรับตัวลดลงในช่วงปีที่ผ่านมา การลงทุนนี้ชี้ให้เห็นว่าเบอร์กเชียร์มองเห็นโอกาสในการฟื้นตัวของหุ้นดังกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มการลงทุนในหุ้น Nucor (NUE) ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ และ Lamar Advertising (LAMR) บริษัทโฆษณานอกบ้าน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค

ปรับสมดุลพอร์ต ลดพึ่งพิงเทคฯ-การเงิน

ในขณะเดียวกัน เบอร์กเชียร์ได้ทำการปรับสมดุลพอร์ตด้วยการลดสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการเงินที่เคยเป็นหัวใจหลักของพอร์ต เช่น Apple และ Bank of America การตัดสินใจนี้เป็นไปเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพิงหุ้นในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการลงทุนที่เน้นความมั่นคงในระยะยาว

โดยสรุป การปรับพอร์ตของเบอร์กเชียร์ในไตรมาสที่ 2 เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงการมองหาโอกาสเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานที่มีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโดยตรง และเป็นการกระจายความเสี่ยงออกจากกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด