แคธี วูด (Cathie Wood) ซีอีโอของ ARK Invest เรียก Tesla ว่า “โปรเจกต์ AI ที่ใหญ่ที่สุดบนโลก” โดยชี้ไปที่ความทะเยอทะยานด้านยานยนต์ไร้คนขับของบริษัทว่าอาจกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจระดับ “หลายล้านล้านดอลลาร์” ในอนาคต
เธอประเมินว่า เครือข่ายแท็กซี่ไร้คนขับทั่วโลกอาจสร้างรายได้สูงถึง 8 ถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ภายในทศวรรษหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากพอจะส่งผลต่อ GDP ของโลกได้เลยทีเดียว
อีลอน มัสก์ เห็นด้วยกับคำกล่าวของวูด โดยเสริมว่าเขาคาดว่าเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติจะเริ่มส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของ GDP ทั่วโลกภายในเวลาเพียง 1 ถึง 2 ปีข้างหน้า แม้รายได้ไตรมาส 2 ของ Tesla จะลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลือ 22.5 พันล้านดอลลาร์ แต่นักวิเคราะห์ยังคงให้ความสนใจกับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นโครงการหุ่นยนต์แท็กซี่ (Robotaxi) หรือหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์ (Optimus)
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Tesla ประกาศความร่วมมือมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Samsung Electronics เพื่อผลิตชิป AI รุ่นใหม่ (AI6) ในรัฐเท็กซัส ซึ่งจะเป็นหัวใจของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติทั้งในรถแท็กซี่ไร้คนขับและหุ่นยนต์ Optimus โดย Samsung เคยผลิตชิป AI4 ให้ Tesla อยู่ก่อนแล้ว ขณะที่ AI5 ผลิตโดย TSMC แต่ดีลนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิตชิปภายในประเทศสหรัฐฯ ให้กับ Tesla ได้มากขึ้น
แดน ไอฟส์ (Dan Ives) นักวิเคราะห์จาก Wedbush เชื่อว่า แผนก AI และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Tesla อาจมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ด้วยตัวมันเอง แม้ผลประกอบการระยะสั้นยังผันผวน แต่กลยุทธ์ AI ระยะยาวของ Tesla ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากยังมองบวกกับอนาคตของบริษัท