วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้มีการจัดแถลงข่าวเพื่อรายงานความคืบหน้าของคดีหุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ซึ่งเป็นความร่วมมือจากหลายหน่วยงานสำคัญในตลาดทุนและกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยมีผู้บริหารและตัวแทนจากองค์กรต่างๆ เข้าร่วมให้ข้อมูล ได้แก่ พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.), นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), นายอัษฎเดช คงสิริ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.), นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) และ พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และรักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) การแถลงข่าวครั้งนี้ได้สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกลุ่มผู้กระทำความผิด ความคืบหน้าทางคดี และมาตรการป้องกันในอนาคต ดังนี้
กลุ่มผู้กระทำความผิดและพฤติการณ์
คดีนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้น MORE อย่างผิดปกติ โดยมีผู้ถูกกล่าวโทษรวม 42 ราย ซึ่งอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องทั้งหมด การดำเนินคดีแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักตามพฤติการณ์ที่แตกต่างกัน ได้แก่
กลุ่มวางแผนและสั่งการ: ตามคำแถลง กลุ่มนี้มีจำนวน 2 ราย เป็นผู้วางแผนหลักในการสร้างราคาหุ้น
กลุ่มตัวกลางและผู้ร่วมสั่งการ: ทำหน้าที่ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นตามแผนที่วางไว้
กลุ่มเจ้าของบัญชี: เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดถึง 33 ราย ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีที่ถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด
การกระทำความผิดมีลักษณะเป็นขบวนการ โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน และอาศัยความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบการซื้อขายหลักทรัพย์
ความคืบหน้าทางคดี
คดีอาญา: พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 42 รายต่อศาลแล้ว และอยู่ระหว่างกระบวนการนัดหมายเพื่อนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่อศาล
คดีแพ่งและมาตรการบังคับทางปกครอง: สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลค่ารวมกว่า 5,300 ล้านบาท โดยศาลแพ่งมีคำสั่งให้นำเงินที่อายัดไว้กว่า 4,500 ล้านบาท คืนให้กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่ได้รับความเสียหาย 11 แห่ง และสั่งยึดหุ้น MORE จำนวน 1,500 ล้านหุ้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน นอกจากนี้ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับมูลค่าความเสียหายจากการปั่นหุ้นอีกประมาณ 226 ล้านบาท ซึ่งจะถูกเรียกค่าปรับให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ผู้ต้องหาที่หลบหนี: มีรายงานว่ามีผู้ต้องหาบางส่วนหลบหนีไปยังต่างประเทศ ซึ่งทางการไทยกำลังติดตามตัวอยู่
มาตรการป้องกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลและป้องกันการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันในอนาคต ดังนี้
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.):
ยกระดับมาตรการกำกับดูแลการซื้อขาย: ตลท. ได้ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ 3 มาตรการใหม่ ได้แก่
Auto Pause เป็นรายหลักทรัพย์: เพื่อหยุดการซื้อขายชั่วคราวเมื่อพบคำสั่งซื้อขายในปริมาณที่มากผิดปกติ
Dynamic Price Band: เพื่อควบคุมความผันผวนของราคาหุ้นที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ
เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการกำกับดูแลการซื้อขาย: โดยกำหนดให้ผู้ลงทุนต้องซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายผิดปกติด้วยเงินสดล่วงหน้าเต็มจำนวน (บัญชีแคชบาลานซ์)
เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ: มีการดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้นในการตรวจสอบและแจ้งเตือนบริษัทหลักทรัพย์เมื่อพบพฤติกรรมการซื้อขายที่น่าสงสัย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.):
เพิ่มอำนาจในการตรวจสอบและดำเนินคดี: มีการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. สามารถสอบสวนคดีที่มีผลกระทบสูงและเอาผิดผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนที่กระทำความผิดได้
ให้ความสำคัญกับการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง: ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของบริษัทที่จะระดมทุน การทำหน้าที่ของที่ปรึกษาทางการเงิน และกระบวนการจัดสรรหุ้น เพื่อป้องกันการปั่นหุ้นตั้งแต่เนิ่นๆ
ผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย
ในส่วนของนักลงทุนรายย่อยที่อาจได้รับความเสียหายจากการเข้าไปซื้อขายหุ้น MORE ในช่วงเวลาดังกล่าว การพิสูจน์ความเสียหายและเรียกร้องค่าชดเชยเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในทางปฏิบัติ ดังนั้น ศาลจึงมุ่งเน้นไปที่การนำทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดิน
โดยสรุป คดีหุ้น MORE ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการกระทำความผิดในตลาดทุน และกระตุ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องยกระดับมาตรการกำกับดูแลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่อไป