“ขู่ก่อน เจรจาทีหลัง” กลยุทธ์ทรัมป์กำหนดกติกาโลกการค้าใหม่ — ไทยยังไร้ดีล เสี่ยงเสียตลาด-หลุด supply chain
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมระบบการค้าโลกโดยสิ้นเชิง ชี้เป็นยุทธศาสตร์ที่เริ่มจากการ “ขู่ขึ้นภาษี” แล้วดึงประเทศต่าง ๆ ให้เข้าสู่ข้อตกลงแบบมีเงื่อนไข พร้อมวาง “ภาษีฐานใหม่” ที่เฉลี่ยสูงถึง 15% โดยไม่ต้องพึ่งรัฐสภาหรือ WTO
ขณะนี้ 4 จาก 5 ชาติคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ต่างเข้าร่วมดีลสำเร็จ เหลือเพียงจีนที่ยังอยู่ระหว่างเจรจา หากดีลกับจีนลุล่วง โครงสร้างการค้าสหรัฐฯ ที่ครอบคลุมกว่า 60% ของมูลค่าทั้งหมดจะถูกล็อกภายใต้ระเบียบใหม่เรียบร้อย
ทรัมป์ใช้วิธี “ขึ้นเพดานภาษีไว้สูงก่อน” แล้วเสนอข้อยกเว้นเป็นรายประเทศ ทำให้แม้อัตราภาษีนำเข้าใหม่จะอยู่ที่ 15–20% ก็ยังดู “ต่ำ” เมื่อเทียบกับกรอบภาษีสูงสุดที่ขู่ไว้ที่ 36% ส่งผลให้ดีลดูเป็น “ข่าวดี” แทนที่จะสร้างความกังวล
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้รายได้ภาษีของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งช่วยชดเชยการลดภาษีในประเทศ พร้อมเสริมอำนาจต่อรองระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อปิดทางจีนในห่วงโซ่อุปทานของเอเชีย ด้วยแนวคิดใหม่เรื่อง “transshipment” โดยเตรียมกำหนดกฎเกณฑ์ชิ้นส่วนแหล่งกำเนิดจีนในสินค้าส่งออกมายังสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบประเทศอาเซียนที่จีนลงทุนอยู่ รวมถึงไทย
“ถ้า supply chain ไทยยังพึ่งจีนมากเกินไป ไทยอาจถูกมองว่าเป็นแค่ทางผ่าน และไม่มีแรงจูงใจให้ญี่ปุ่นหรือชาติตะวันตกเข้ามาลงทุนเพิ่ม เพราะผลิตที่บ้านเขายังเสียภาษีน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ” ดร.พิพัฒน์กล่าว
เขาสรุปว่า Trump Trade Deal ไม่ใช่แค่ข้อตกลง แต่คือ “ยุทธศาสตร์พลิกเกม” ที่ใช้ภาษีเป็นอาวุธหลักในการเขียนกติกาใหม่ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งขณะนี้… ไม่มีใครกล้าขัด และใครไม่รีบเข้าร่วม ก็อาจไม่มีที่นั่งในโต๊ะเจรจาใหม่อีกต่อไป. — ไทยยังไร้ดีล เสี่ยงเสียตลาด-หลุด supply chain
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมระบบการค้าโลกโดยสิ้นเชิง ชี้เป็นยุทธศาสตร์ที่เริ่มจากการ “ขู่ขึ้นภาษี” แล้วดึงประเทศต่าง ๆ ให้เข้าสู่ข้อตกลงแบบมีเงื่อนไข พร้อมวาง “ภาษีฐานใหม่” ที่เฉลี่ยสูงถึง 15% โดยไม่ต้องพึ่งรัฐสภาหรือ WTO
ขณะนี้ 4 จาก 5 ชาติคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ต่างเข้าร่วมดีลสำเร็จ เหลือเพียงจีนที่ยังอยู่ระหว่างเจรจา หากดีลกับจีนลุล่วง โครงสร้างการค้าสหรัฐฯ ที่ครอบคลุมกว่า 60% ของมูลค่าทั้งหมดจะถูกล็อกภายใต้ระเบียบใหม่เรียบร้อย
ทรัมป์ใช้วิธี “ขึ้นเพดานภาษีไว้สูงก่อน” แล้วเสนอข้อยกเว้นเป็นรายประเทศ ทำให้แม้อัตราภาษีนำเข้าใหม่จะอยู่ที่ 15–20% ก็ยังดู “ต่ำ” เมื่อเทียบกับกรอบภาษีสูงสุดที่ขู่ไว้ที่ 36% ส่งผลให้ดีลดูเป็น “ข่าวดี” แทนที่จะสร้างความกังวล
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้รายได้ภาษีของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งช่วยชดเชยการลดภาษีในประเทศ พร้อมเสริมอำนาจต่อรองระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อปิดทางจีนในห่วงโซ่อุปทานของเอเชีย ด้วยแนวคิดใหม่เรื่อง “transshipment” โดยเตรียมกำหนดกฎเกณฑ์ชิ้นส่วนแหล่งกำเนิดจีนในสินค้าส่งออกมายังสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบประเทศอาเซียนที่จีนลงทุนอยู่ รวมถึงไทย
“ถ้า supply chain ไทยยังพึ่งจีนมากเกินไป ไทยอาจถูกมองว่าเป็นแค่ทางผ่าน และไม่มีแรงจูงใจให้ญี่ปุ่นหรือชาติตะวันตกเข้ามาลงทุนเพิ่ม เพราะผลิตที่บ้านเขายังเสียภาษีน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ” ดร.พิพัฒน์กล่าว
เขาสรุปว่า Trump Trade Deal ไม่ใช่แค่ข้อตกลง แต่คือ “ยุทธศาสตร์พลิกเกม” ที่ใช้ภาษีเป็นอาวุธหลักในการเขียนกติกาใหม่ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งขณะนี้… ไม่มีใครกล้าขัด และใครไม่รีบเข้าร่วม ก็อาจไม่มีที่นั่งในโต๊ะเจรจาใหม่อีกต่อไป.