S&P-ทริสฯ ชี้เป้าความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยปี 68 รับมือคลื่นการค้าโลก-นโยบายสหรัฐฯ

S&P Global Ratings และ TRIS Rating ชี้เป้าความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยปี 68 โจทย์ใหญ่รับมือคลื่นการค้าโลก-นโยบายสหรัฐฯ

กรุงเทพฯ – S&P Global Ratings และทริสเรทติ้ง จัดสัมมนาใหญ่ “Thailand Credit Spotlight 2025” ฉายภาพเศรษฐกิจไทยปี 2568 เผชิญความท้าทายรอบด้านจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการแข่งขันที่สูงขึ้น ขณะที่ชี้ว่าภาคธนาคารไทยยังแข็งแกร่งพอรับมือแรงกดดัน แต่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในภาพรวมยังเป็นปัจจัยที่น่ากังวลที่สุด

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 S&P Global Ratings และ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนา “Thailand Credit Spotlight 2025: Navigating Global Trade Shifts” ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน นักลงทุนสถาบัน และผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนเข้าร่วมคับคั่ง เพื่อวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจและเครดิตของประเทศไทย ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์การค้าโลก

เศรษฐกิจโลกกดดัน-เอเชียยังโตแต่ต้องระวัง
Mr. Louis Kuijs, APAC Chief Economist ของ S&P Global Ratings ชี้ว่า นโยบายการค้าและดอกเบี้ยของสหรัฐฯ กำลังสร้างความไม่แน่นอนไปทั่วโลกและกดดันเศรษฐกิจจีนรวมถึงประเทศในเอเชียแปซิฟิก อย่างไรก็ดี อุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่งจะช่วยพยุงเศรษฐกิจในภูมิภาคให้ยังเติบโตได้ดีกว่าส่วนอื่นของโลก แต่ทุกประเทศจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน

เจาะลึกเครดิตไทย: แบงก์แกร่ง-เอกชนเสี่ยงทางอ้อม
สำหรับประเทศไทย ผู้บริหารจาก S&P และทริสเรทติ้งให้มุมมองที่น่าสนใจในหลายมิติ:

  • อันดับเครดิตประเทศ: Mr. Kim Eng Tan จาก S&P ระบุว่า สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่ไม่แน่นอน ประกอบกับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย เป็นอุปสรรคต่อการปรับขึ้นอันดับเครดิตประเทศ แต่การดำเนินนโยบายที่ทันการณ์ของภาครัฐสามารถลดแรงกดดันได้

  • ภาคธนาคาร: Mr. Ivan Tan จาก S&P มองว่า แม้ภาคธนาคารไทยจะเผชิญแรงกดดันจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนและ SME ที่สูง และการแข่งขันจากสินค้าจีน แต่ธนาคารไทยส่วนใหญ่มีความแข็งแกร่งสูง ด้วยเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ที่สูงกว่า 20% และเงินสำรองที่แข็งแกร่ง ทำให้พร้อมรับมือกับความท้าทาย

  • ภาคธุรกิจเอกชน: Ms. Pauline Tang จาก S&P และ ดร. สุชาดา พันธุ จากทริสเรทติ้ง มีมุมมองสอดคล้องกันว่า ผลกระทบ "โดยตรง" จากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต่อบริษัทจดทะเบียนไทยมีจำกัด โดยกระทบไม่ถึง 5% ของผู้ออกตราสารหนี้ที่ทริสฯ จัดอันดับ แต่ความเสี่ยงที่น่ากังวลกว่าคือ "ผลกระทบทางอ้อม" จากเศรษฐกิจมหภาคที่อาจชะลอตัวลง ทั้งการส่งออก การลงทุน และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผลประกอบการของภาคธุรกิจในระยะต่อไป โดยกลุ่มที่เสี่ยงสูงคือ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ และสิ่งทอ

โดยสรุป เวทีสัมมนาได้สะท้อนภาพว่า แม้ประเทศไทยจะมีความแข็งแกร่งในบางภาคส่วน แต่ความท้าทายจากปัจจัยภายนอกยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและอันดับความน่าเชื่อถือในปี 2568 ซึ่งทุกภาคส่วนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่อไป