Amazon รายได้ดีกว่าคาด จากยอดขาย Amazon Prime Day 2025

Amazon รายงานผลประกอบการและแนวโน้มธุรกิจไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทันทีในเชิงบวก โดยนักลงทุนมองว่าบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและคลาวด์ อีกทั้งมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากกิจกรรมการตลาดขนาดใหญ่อย่าง Amazon Prime Day ปี 2025 ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น

.

Amazon Prime Day ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 11 กรกฎาคม 2568 โดยขยายระยะเวลาเป็น 96 ชั่วโมง ซึ่งยาวกว่าปีก่อนหน้าถึง 2 เท่า ทำให้กลายเป็นหนึ่งในมหกรรมลดราคาที่ใหญ่ที่สุดของ Amazon

.

บริษัท Adobe คาดการณ์ว่า ยอดการใช้จ่ายออนไลน์ในร้านค้าปลีกของสหรัฐฯ ช่วง Prime Day ปีนี้จะพุ่งขึ้น 28.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) ซึ่งคิดเป็นยอดขายที่สูงกว่า ช่วง Black Friday ถึง 2 เท่า

.

โดย InnovestX ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับ Amazon ที่ได้เปรียบในตลาดในตอนนี้ และจะได้รับแรงหนุนยอดขายจากหลายปัจจัยใน Prime Day ปีนี้ ได้แก่:

1) ส่วนลดที่โดดเด่น: โดยเฉพาะหมวดเสื้อผ้า, เครื่องใช้ไฟฟ้า และโทรทัศน์ ที่ลดราคาสูงถึง 10-24% ซึ่งสามารถกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว หลังผู้บริโภคหันมามองหาสินค้าราคาพิเศษมากขึ้น

2) ต้นทุนคู่แข่งสูงขึ้น: การเปลี่ยนแปลงด้านภาษีนำเข้า (Tariff) และการลด De minimis ทำให้สินค้าราคาถูกจากจีนใน Temu และ Shein มีต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ Amazon ได้เปรียบในด้านราคาและความสามารถในการแข่งขัน

3) AI Shopping Assistant: Amazon นำเทคโนโลยี AI มาใช้ผ่านฟีเจอร์อย่าง Alexa+ ที่สามารถติดตามและแจ้งเตือนราคาสินค้าให้ลูกค้าแบบเรียลไทม์ รวมถึง AI เชิงสร้างสรรค์ที่ช่วยให้ลูกค้าเลือกดีลได้ตรงใจมากขึ้น โดย Adobe คาดว่า “การเข้าชมเว็บไซต์จาก AI assistant จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”

.

ทั้งนี้ ยังมี ความเสี่ยงจากแรงซื้อผู้บริโภคที่ยังเปราะบาง ซึ่งอาจกดดันยอดขายบางหมวดหมู่ได้

.

InnovestX มองว่าหุ้นในระบบนิเวศของอีคอมเมิร์ซ เช่น AFRM (Affirm) และ WMT (Walmart) จะได้อานิสงส์จากการใช้ระบบ BNPL (Buy Now Pay Later) ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง Prime Day เช่นเดียวกัน

.

Prime Day 2025 ถือเป็นตัวเร่งสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนงบการเงินไตรมาส 3 ของ Amazon ได้อย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่องจากทุกปีที่ผ่านมา ประกอบกับแนวโน้มบวกด้านเทคโนโลยี, ความได้เปรียบด้านต้นทุน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่ดีลที่คุ้มค่ามากขึ้น ทำให้ Amazon ยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำของอีคอมเมิร์ซระดับโลก