ASIA PLUS จับตา 9 ก.ค. ชี้ชะตาภาษีสหรัฐฯ แนะกลยุทธ์ Wait and See

ASIA PLUS จับตา 9 ก.ค. ชี้ชะตาภาษีสหรัฐฯ แนะกลยุทธ์ "Wait and See" จับตาผลเจรจาทางการค้าใกล้ชิด แนะนำหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ (Domestic Play) เช่น CPALL, CPAXT, M, LH, AP, SIRI, BDMS, BCH


บล.เอเซีย พลัส เผยว่า ตลาดหุ้นไทยผันผวนรับแรงกดดัน แต่คาดไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ แนะกลยุทธ์ "Wait and See" จับตาผลเจรจาทางการค้าใกล้ชิด โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บภาษีระลอกใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน, เหล็กและอลูมิเนียม ซึ่งหากเกิดการขึ้นภาษีจริงจะสร้างความเสี่ยงด้านต่ำ (Downside Risk) ต่อการเติบโตของ GDP ไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย


เตือนนักลงทุนกำลังจับตามองวันที่ 9 กรกฎาคมนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นเส้นตายที่สหรัฐอเมริกาอาจประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ากับหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ท่ามกลางสถานการณ์ที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ประเทศที่ประกาศอัตราภาษีแล้ว, ประเทศที่อยู่ระหว่างเจรจา และประเทศที่อาจถูกประกาศเพิ่มเติม


คาดการณ์ผลกระทบต่อ GDP ไทยใน 4 กรณี บทวิเคราะห์ได้ประเมินผลกระทบของอัตราภาษี (Tariffs) ที่มีต่อการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 (YoY) ไว้หลายกรณี ดังนี้:


- กรณีเลวร้ายที่สุด (Tariff 36%): อาจทำให้ GDP โตเพียง 1.3%


- กรณีภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff 18%): คาดว่า GDP จะเติบโตได้ 2.3%


- กรณีภาษีต่ำ (Tariff 18%-36%): คาดว่า GDP จะเติบโตราว 2.0%


- กรณีดีที่สุด (Tariff ต่ำกว่า 18%): คาดว่า GDP จะเติบโตได้สูงกว่า 2.3%


อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นบวกจากการที่รัฐบาลเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น


แม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็มีโอกาสที่ไทยและสหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงทางการค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี 36% โดยมีรายละเอียดข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น:


สหรัฐฯ เพิ่มการนำเข้า สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม, พลังงาน, และชิ้นส่วนเครื่องบิน Boeing จากไทย ในขณะที่ทางประเทศไทยลดอุปสรรคทางการค้า พิจารณานำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และสินค้าอื่นๆ จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น


ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อไทยมูลค่า 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้เป็นศูนย์ภายใน 7-8 ปี


มุมมองตลาดหุ้นไทย (SET Index) ถึงแม้จะกลับมาผันผวนอีกครั้ง แต่บทวิเคราะห์เชื่อว่าจะไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่า 1056 จุด เนื่องจากปัจจัยลบส่วนใหญ่ได้ถูกรับรู้ไปแล้ว โดยมีปัจจัยสนับสนุน 4 ข้อหลัก


1. ตลาดรับรู้ความเสี่ยงสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนไประดับหนึ่งแล้ว


2. นโยบาย OBBKA ของรัฐบาลช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด


3. โอกาสที่สินค้าไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น หากประเทศคู่แข่งถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่า


4. แนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้


อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนวันที่ 9 ก.ค. นักวิเคราะห์แนะนำกลยุทธ์ "Wait and See" โดยอาจถือเงินสดในพอร์ต 5-10% เพื่อรอความชัดเจน หากนักลงทุนต้องการเก็งกำไร ควรเน้นหาจังหวะสะสมหุ้นที่ Valuation น่าสนใจและมีแนวโน้มการเติบโตของกำไร (EPS Growth) ที่ดี โดยแนะนำหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ (Domestic Play) เช่น CPALL, CPAXT, M, LH, AP, SIRI, BDMS, BCH