บล.เอเซีย พลัส เผยข้อมูล “Fund Flow ครึ่งปีแรก 2568 (1H68)” ชี้ชัดว่าตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติอย่างหนักสุดในภูมิภาค โดยมีเงินไหลออกสุทธิกว่า -54,152 ล้านบาท มากกว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งที่หลายประเทศถูกขายเหมือนกัน แต่ตลาดหุ้นไทยกลับ ให้ผลตอบแทนติดลบถึง -10.3% YTD ซึ่งแย่ที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียที่เปรียบเทียบ
เทียบกับประเทศอื่น
• อินเดีย แม้ถูกขายออก -3.2 หมื่นล้าน แต่ตลาดยังบวก +8.6%
• อินโดนีเซีย ผลตอบแทน +2.5%
• ฟิลิปปินส์ +2.2%
• เวียดนาม +8.6%
• ขณะที่ไทย -10.3% (รุนแรงที่สุด)
ตลาดหุ้นไทยถูกเทหนักเพราะอะไร?
1. นักลงทุนต่างชาติขายต่อเนื่องถึง -54,152 ล้านบาท
2. หุ้นที่ต่างชาติถือเยอะ เช่น DELTA, AOT, ADVANC, CPALL – ราคาร่วงต่อเนื่อง
3. นักลงทุนรายย่อยในประเทศขายสุทธิเช่นกัน และสัดส่วนลดลงเหลือ 29.1% จาก 31.6% ในต้นปี
4. แรงขาย LTF ในระบบที่ทยอยไถ่ถอน ลดลงไปเกือบ 100,000 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือน
5. ด้านแรงซื้อตอบรับบางส่วนจาก กองทุน ThaiESGX ที่มีเงินไหลเข้ากว่า 19,840 ล้านบาท
สัดส่วนผู้เล่นในตลาดเปลี่ยนไป
• นักลงทุนต่างชาติเพิ่มสัดส่วนการซื้อขายแตะ 54.1%
• รายย่อยลดลงต่อเนื่องเหลือ 29.1%
• Proprietary Trading (บัญชีบริษัทหลักทรัพย์) และ Local Institutions มีสัดส่วนทรงตัว
สัญญาณไม่สมดุล – LTF ออก vs ESGX เข้า
แม้ ThaiESGX จะเป็นกองทุนใหม่ที่ได้รับความนิยมและมีแรงซื้อกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย 1.9 หมื่นล้านบาทในเดือนมิถุนายน แต่ยังไม่สามารถชดเชยแรงขายจาก LTF ที่ลดลงต่อเนื่องจาก 332,552 ล้านบาทในปลายปี 2565 เหลือเพียง 117,021 ล้านบาท ณ สิ้นมิถุนายน 2568
ตลาดหุ้นไทยเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งแรงขายของต่างชาติ แรงขาย LTF และความเชื่อมั่นที่หายไปของนักลงทุนในประเทศ แม้มีเม็ดเงินใหม่จากกองทุน ESG แต่ยังไม่สามารถ “Balance” กับฝั่งขายได้ ส่งผลให้ SET Index อยู่ในภาวะ “ถดถอยเชิงโครงสร้าง” หากไม่มีแรงกระตุ้นเศรษฐกิจหรือสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนจากภาครัฐและรายได้บริษัทจดทะเบียน นักลงทุนอาจยังคงระวังการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อไป