SET ดิ่งกว่า 90 จุดในรอบเดือนครึ่ง แรงขายทุบหุ้นใหญ่

SET ดิ่งกว่า 90 จุดในรอบเดือนครึ่ง แรงขายทุบหุ้นใหญ่ “CPALL-PTT-STECON” ผู้บริหารแห่ซื้อ “KCE-GULF-BDMS” สวนทางตลาด สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน


บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส เปิดเผยถึงภาพตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กำลังเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนี SET ได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงกว่า 90 จุดในช่วงประมาณ 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา (14 พฤษภาคม - 11 มิถุนายน 2568) ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่เข้ามากระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหนัก

สถานการณ์ตลาด: แรงขายทุบหุ้นใหญ่และหุ้นรายตัว

พบว่าหุ้นในกลุ่ม "บริษัทที่ซื้อหุ้นคือเมื่อ SET ลงมากกว่า 90 จุด" ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยมีมูลค่าการซื้อขายและราคาที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นที่ถูกแนะนำให้จับตาในกลุ่มนี้ ได้แก่:

 * CPALL: (บมจ. ซีพี ออลล์) - หุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มักจะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ

 * TU: (บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป) - หุ้นกลุ่มอาหารที่อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและค่าเงิน

 * PTT: (บมจ. ปตท.) - หุ้นพลังงานยักษ์ใหญ่ที่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมันโลกและความผันผวนของตลาดพลังงาน

 * SPALI: (บมจ. ศุภาลัย) - หุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย

 * SJWD: (บมจ. เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์) - หุ้นกลุ่มโลจิสติกส์ที่สะท้อนภาวะการค้าและการลงทุน

 * STECON: (บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น) - หุ้นรับเหมาก่อสร้างที่ขึ้นอยู่กับโครงการภาครัฐและการลงทุน


การปรับตัวลดลงของหุ้นเหล่านี้บ่งชี้ถึงการเทขายที่กระจายตัวในหุ้นหลายภาคส่วนสำคัญของตลาด และเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนี SET ดิ่งลงอย่างมีนัยสำคัญ

บทบาทของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ส่งสัญญาณความเชื่อมั่นด้วยการเข้าเก็บหุ้นซื้อหุ้นคืนจาก ท่ามกลางภาวะตลาดที่ซบเซา

 ผู้บริหารของหลายบริษัทได้แสดงออกถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของธุรกิจของตนเองด้วยการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทในช่วงระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม - 11 มิถุนายน 2568 การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สำคัญสำหรับนักลงทุน เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าผู้บริหารมองเห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทในราคาที่ถูกลงและเชื่อมั่นในแนวโน้มการฟื้นตัวในอนาคต

หุ้นที่ผู้บริหารเข้าเก็บอย่างมีนัยสำคัญในช่วงตลาดผันผวนนี้ ได้แก่:

 * KCE: (บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์)

 * GULF: (บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์)

 * SPALI: (บมจ. ศุภาลัย) - น่าสนใจว่าหุ้นตัวนี้อยู่ในทั้งสองกลุ่ม คือทั้งราคาลดลงมากและผู้บริหารเข้าเก็บ

 * BDMS: (บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ)

 * CRC: (บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น)

 * SAWAD: (บมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น)

 * PLANB: (บมจ. แพลน บี มีเดีย)

 * BH: (บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์)

การที่ผู้บริหารเข้าซื้อหุ้นของตนเองในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ "การซื้อเมื่อตลาดตื่นตระหนก" (buying the dip) และเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งกว่าการประกาศแผนซื้อหุ้นคืนโดยบริษัท เนื่องจากเป็นการใช้เงินส่วนตัวของผู้บริหารเอง

แนวโน้มตลาดและคำแนะนำสำหรับนักลงทุนแม้ว่าตลาดจะยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก การเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ยังคงมีความไม่แน่นอน รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่ผู้บริหารเข้าเก็บหุ้นของตนเองอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดในระยะสั้นถึงกลาง

นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนในหุ้นที่ผู้บริหารเข้าเก็บ โดยเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว การศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด รวมถึงปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มอุตสาหกรรมยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจลงทุนในช่วงตลาดที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้.