นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จํากัด (มหาชน) หรือ SKIN เผยว่า บริษัทพัฒนา จ้างผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ไทย Skinsista และ Dermie ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเน้นดูแลปัญหาผิว เช่น สิว ริ้วรอย และผิวแพ้ง่าย มีจำหน่ายทั้งในร้านค้าชั้นนำและช่องทางออนไลน์ พร้อมวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้เข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวกยิ่งขึ้น
สำหรับผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมในปี 2565 – 2567 อยู่ที่ 282.7 ล้านบาท 272.79 ล้านบาท และ 230.53 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 10.78 ล้านบาท 16.79 ล้านบาท และ 10.67 ล้านบาท ตามลำดับซึ่งรายได้ที่ลดลงในปี 2567 โดยหลักมาจากการดำเนินงานที่เน้นเพิ่มฐานลูกค้ารายใหม่ๆที่เป็นรูปแบบขายขาดมากขึ้น ซึ่งการรับรู้รายได้จากการฝากขายจะรับรู้ตามมูลค่าที่ผู้รับฝากขายได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า (Retail Price ตามป้ายราคา) ขณะที่รายได้จากการขายขาดจะรับรู้ตามมูลค่าที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับสำหรับสินค้าที่ได้ส่งมอบหลังจากหักการรับคืนและส่วนลดโดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (Net Price) รวมถึงกำไรในปี 2567 ที่ดูเหมือนลดลง ส่วนหนึ่งมาจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (one-time expense)สำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และนำเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก
นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัดหรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน เผยว่า บริษัทมีความพร้อมที่จะนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุน หรือ โรดโชว์ เพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 44 ล้านหุ้น โดยที่ผ่านมาได้เดินสายโรดโชว์ไปแล้วกว่า 7 จังหวัด และได้ปิดท้ายโรดโชว์ที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในวันนี้ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนในทุกจังหวัด เนื่องจากศักยภาพและผลิตภัณฑ์ของ SKIN ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากจุดจำหน่ายชั้นนำ อาทิ 7-11, Watsons, CJ MORE NINE BEAUTY, Beautrium และ Konvy รวมถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับด้านคุณภาพอย่างกว้างขวาง และภาพรวมอุตสาหกรรมด้านผลิตภัณฑ์ความงามในประเทศไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความนิยมการเลือกใช้แบรนด์ไทยที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับแบรนด์นานาชาติ จึงมั่นใจว่า SKIN จะเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูง
ปัจจุบัน SKIN มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 72,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 144,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนชำระแล้ว 50,000,000 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 44 ล้านหุ้น คิดเป็น 30.55% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ maiในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค