นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 32.88 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวานนี้ที่ 33.07 บาทต่อดอลลาร์ โดยตลอดคืนที่ผ่านมา เงินบาทปรับตัวแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทะลุแนวรับสำคัญที่ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ แกว่งตัวในกรอบ 32.85-33.09 บาท/ดอลลาร์ ปัจจัยสำคัญที่หนุนให้เงินบาทแข็งค่าคือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งได้รับแรงกดดันจากความกังวลด้านเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะพรรครีพับลิกันอยู่ระหว่างจัดทำร่างกฎหมายการคลัง (Fiscal Bill) ซึ่งอาจรวมถึงการขยายมาตรการลดหย่อนภาษีในอดีต เช่น Tax Cuts and Jobs Act
สถานการณ์ดังกล่าวยังเป็นปัจจัยหนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ทะยานขึ้นใกล้ระดับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยล่าสุด สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือนมิถุนายน 2025 พุ่งขึ้นกว่า +2% แตะระดับ 3,329 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านจากรายงานของ CNN ความไม่แน่นอนของร่าง Fiscal Bill ยังส่งผลต่อบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี เช่น Alphabet -1.5% และ Amazon -1.0% ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาดลดลง -0.39% ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น โดยดัชนี STOXX600 บวก +0.73% จากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน และแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานลม หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกคำสั่งระงับโครงการนอกชายฝั่ง
ในตลาดพันธบัตร ความกังวลด้านการคลังของสหรัฐฯ ดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี ทะลุ 4.50% แต่แรงซื้อบอนด์บางส่วนทำให้ย่อตัวกลับมาแถว 4.49% นักวิเคราะห์ยังคงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่ยีลด์ขยับสูง (Buy on Dip) ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) อ่อนค่าลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 99.9 จุด จากแรงขายดอลลาร์ ขณะที่สกุลเงินอื่นอย่างยูโรได้แรงหนุนจากบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของฝั่งยุโรป
ทั้งนี้ ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นแรงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนการแข็งค่าของเงินบาท โดยจากการประเมินความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำ (Beta ประมาณ 0.3-0.5) มีความเป็นไปได้ที่เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นทดสอบแนวรับถัดไปที่ระดับ 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ หากราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่แนวต้านทางเทคนิคที่ 3,325-3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจมีขีดจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มทยอยซื้อดอลลาร์กลับ หากเงินบาทแตะโซนแนวรับดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีโฟลว์การจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
นักวิเคราะห์ยังคงมุมมองว่า เงินบาทมีแนวโน้มเผชิญกับภาวะ Two-Way Volatility โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้นำทิศทางของเงินบาทในระยะสั้น ในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า ตลาดจะจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ และรายงานการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขณะที่ฝั่งเอเชียมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะลดดอกเบี้ย 25bps เหลือ 5.50% ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
คาดกรอบเงินบาทวันนี้อยู่ที่ 32.75-33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนให้หลากหลายมากขึ้น ทั้งผ่านการใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น Options หรือการถือสกุลเงินท้องถิ่น เพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะต่อไป