“ILINK” ไตรมาสแรกปี 68 รับรายได้รวม 1,775 ลบ. กำไรสุทธิ 111 ลบ. เดินหน้าสู่เป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง

        บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกรับปี 2568 ด้วยยอดรายได้รวมทั้ง 3 ธุรกิจ อยู่ที่ 1,775.40 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 111.13 ล้านบาท ถึงแม้รายได้รวมในไตรมาสแรกนี้ลดลง แต่บริษัทฯ ยังคงยืนยันถึงเป้าหมายรายได้ตลอดทั้งปี 2568 ไว้ที่ 7,120 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ภายใต้กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรด้วย เทคโนโลยี นวัตกรรม และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทั้งในด้านดิจิทัล เครือข่ายคมนาคม และระบบสื่อสาร ซึ่งล้วนเป็นกลไกหลักในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ ILINK และยังเป็นการสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการของกลุ่มบริษัทฯ ความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาด และความท้าทายทางเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งเน้นการขยายตัวเชิงคุณภาพ ไม่เพียงแต่สร้างผลกำไรในอนาคตให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืนเพียงเท่านั้น 


        นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของ 3 ธุรกิจหลักในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) และธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center) ในไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทฯ ทำรายได้รวมในปี 2568 นี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ และมีกำไรสุทธิที่หักค่าใช้จ่ายแล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรลดลง 55.99% แต่ยังคงรักษามาตรฐานอัตราการเติบโต มั่นใจพร้อมเดินหน้ารุกสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตต่อไป เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม อีกทั้งยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในฐานะเป็นผู้นำธุรกิจเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานของไทย พร้อมยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ตามการวางกลยุทธ์แบบมีคุณภาพ ‘Quality Growth’ เพื่อก้าวสู่อนาคตที่มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว”


        สำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) เป็นธุรกิจหลักที่เติบโตเคียงคู่บริษัทฯ ร่วมกว่า 38 ปี มีผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 สร้างรายได้รวมไว้ที่ 832.80 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อย 3.81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรรวม 84.73 ล้านบาท หรือ ลดลง 6.58% แต่ยังคงมีการวางเป้ากลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจ และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีนี้ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาธุรกิจสายสัญญาณอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะการเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายสายสัญญาณภายใต้แบรนด์ LINK ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และถูกนำไปใช้งานในระบบโครงข่ายของทั้งภาครัฐ และเอกชนทั่วประเทศ รวมถึงโครงการขนาดใหญ่หลายแห่งที่การันตีคุณภาพ จากผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่แห่งปี 2568 ภายใต้แนวคิด “New Innovation Products Launch 2024 – Expanding the Products Line 2025” เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักสินค้าในวงกว้างมากขึ้น ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด และการเติบโต สู่การทำรายได้ในไตรมาสต่อไปที่เพิ่มขึ้น และกอบโกยกำไรต่อในระยะยาวได้อย่างเพิ่มพูน


        ขณะที่กลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) อยู่ในเครือที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านงานวิศวกรรมโครงการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นรับงานโครงการภาครัฐที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง และการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ของภาครัฐในปี 2568 จะส่งผลให้การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่บางส่วนล่าช้า กลุ่มธุรกิจนี้ยังสามารถสร้างรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้ที่ 136.57 ล้านบาท ขาดทุน 4.22 ล้านบาท ถึงแม้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการรักษาฐานรายได้ ที่ได้มีโครงการส่งมอบงานไปแล้ว 2 โครงการ (งานจ้างก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี ไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี (Submarine Cable) และงานก่อสร้างปรับปรุงสถานีไฟฟ้านนทรี จังหวัดปราจีนบุรี (Substation)) จากการดำเนินงานภายใต้โครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และจากผลงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ตัวเลขในไตรมาสแรกจะสะท้อนผลกระทบจากจังหวะการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ แต่กลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการนี้ ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพ ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และประสบการณ์ในโครงการระดับประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวอย่างมีคุณภาพ

 ส่วนกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL เปิดงบรายได้ในไตรมาส 1/68 มีรายได้รวม 806 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 30.62 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 62.61 เมื่อเทียบกับกำไรที่ไม่รวมกำไรจากการซื้อธุรกิจในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้บางส่วนถูกเลื่อนไปในไตรมาสถัดไป จากปัจจัยด้านระยะเวลาในการอนุมัติโครงการบางส่วนที่ล่าช้ากว่ากำหนด

  แม้ว่าทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกจะไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่บริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตามอย่างใกล้ชิด และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสถัดไปจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อล่าสุด บริษัทฯ ได้ประกาศความร่วมมือกับ สทป. จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ‘NDC’ เพื่อให้บริการที่ครอบคลุมทั้งด้านระบบความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) โซลูชันดิจิทัล (Digital Solutions) และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัย ความร่วมมือดังกล่าวนับเป็นการผสานจุดแข็งที่ลงตัว ระหว่างความเชี่ยวชาญด้านโครงข่ายโทรคมนาคมของ ITEL กับองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศของ สทป. ซึ่งไม่เพียงสะท้อนวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศอีกด้วย