"กวี ชูกิจเกษม" มอง CPALL ซื้อหุ้นคืน 7.5 พันล. "ไม่แปลกใจ" ชี้ บจ.ใหญ่เงินสดล้น-ลงทุนน้อย

14 พฤษภาคม 2568 นายกวี ชูกิจเกษม กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi ให้ความเห็นผ่านรายการ "หุ้นทิ่มตา" โดย Business line and life ว่า การที่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ประกาศซื้อหุ้นคืนวงเงิน 7,500 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ และคาดว่าอาจเห็นบริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม SET50 ทยอยประกาศซื้อหุ้นคืนตามมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตในระดับต่ำมาก ทำให้บริษัทขนาดใหญ่แม้ยังคงมีกำไร แต่การเติบโตของกำไรชะลอตัว และไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่มากนักที่จะต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก

นายกวีกล่าวว่า "CPALL เองแม้จะขยายสาขา 7-Eleven ก็ไม่ได้ใช้เงินทุนมหาศาล และก่อนหน้านี้ก็ตัดสินใจไม่ลงทุนใน 7-Eleven ที่ญี่ปุ่นและอินเดีย สะท้อนความระมัดระวังในการลงทุน เมื่อมีเงินสดเหลือและมองว่าราคาหุ้นของตนเองถูก (Undervalue) การซื้อหุ้นคืนจึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล"

การซื้อหุ้นคืนโดยทั่วไปส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นเดิม เพราะจะทำให้จำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดลดลง หากกำไรเท่าเดิม กำไรต่อหุ้น (EPS) จะเพิ่มขึ้น ค่า P/E จะลดลง และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) จะสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ควรหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ แม้บริษัทจะจ่ายปันผลในสัดส่วนเท่าเดิม (Payout Ratio) แต่เงินปันผลต่อหุ้น (DPS) ก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นายกวีตั้งข้อสังเกตว่า ในอดีตนักลงทุนบางส่วนอาจมีทัศนคติเชิงลบต่อการซื้อหุ้นคืน เนื่องจากเคยมีกรณีที่บริษัทใช้กลยุทธ์นี้เพื่อปั่นราคา หรือผู้บริหารเข้าไปซื้อหุ้นก่อนประกาศข่าว หรือแม้กระทั่งกู้เงินมาเพื่อซื้อหุ้นคืนหรือจ่ายปันผล ซึ่งไม่เป็นผลดี แต่สำหรับกรณี CPALL มองว่าบริษัทมีกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) แต่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนปัจจัยดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทจึงน่าจะเห็นว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น

"ที่ราคา CPALL ประมาณ 50 บาทเศษ กำไรต่อหุ้นเกือบ 3 บาท คิดเป็น P/E ราว 16 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำมากสำหรับ CPALL ที่เคยเทรด P/E สูงกว่านี้มาก ประกอบกับ ROE ที่ประมาณ 20% ทำให้มองว่าบริเวณ 50 บาทบวกลบ เป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ" นายกวีกล่าว

นายกวียังแสดงความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า "เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/67 น่าจะเติบโตต่ำสุด และไตรมาส 2-3 ก็ยังไม่ดีนัก เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลายตัวมีปัญหา ทั้งการส่งออกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า การท่องเที่ยวที่ไม่เติบโตตามคาด และการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัว มีเพียงการลงทุนภาครัฐที่ยังพอประคองได้ แต่ก็มีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจโดยรวมที่ 17 ล้านล้านบาท"

เขากล่าวเสริมว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง และปัญหาการเมืองภายในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังลังเลที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย แม้จะเห็นเม็ดเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้บ้าง แต่ก็ยังไม่เข้าหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ ต่างจากตลาดหุ้นอื่นในเอเชียที่ปรับตัวขึ้นไปก่อนหน้านี้ สะท้อนว่าต่างชาติยังไม่คาดหวังกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยมากนักในระยะนี้ นักลงทุนจึงควรเตรียมตัวรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจ และ "พกร่ม" ไว้เสมอ