“คลัง“ จ่อคุย ธปท.-แบงก์เอกชน นำกำไรช่วยห่วงโซ่ธุรกิจส่งออกสหรัฐ รับมือภาษีทรัมป์

“พิชัย” รองนายกฯ รมว.คลังสั่งแบงก์รัฐลดกำไร ลดดอกเบี้ยช่วยห่วงโซ่ธุรกิจส่งออกรับมือกำแพงภาษีทรัมป์ ภายใน 2 สัปดาห์ติดตามผล จ่อหารือธปท.ส่งผ่านนโยบายไปยังธนาคารพาณิชย์ ด้านธนาคารออมสินพร้อมออก Soft Loan เพิ่มปล่อยกู้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบลุยลดดอกเบี้ยเงินกู้ 2-3% ช่วยลูกค้าออมสินเพื่อส่งออก 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้เรียกประชุมสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง ครั้งที่ 1 ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM Bank ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มอบการบ้านให้ธนาคารเฉพาะกิจรัฐทุกแห่ง กลับไปเตรียมมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้ส่งออกไปสหรัฐ และเอสเอ็มอีที่เป็นห่วงโซ่กับผู้ส่งออก โดยสั่งการให้ทุกแห่งเปิดคลินิกหรือศูนย์ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกและเอสเอ็มอี เพื่อให้รับข้อมูลจากลูกค้าเพื่อปรับกลยุทธ์ในการรับมือผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐ โดยไม่เกิน 2 สัปดาห์จากนี้ จะเรียกประชุมสถาบันการเงินของรัฐ 7 แห่ง ครั้งที่ 2 เพื่อติดตามงานที่ให้ทุกแห่งรับข้อมูลจากลูกค้าและออกมาตรการรองรับที่เหมาะสมกับลูกค้าต่อไป

ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ประสานงานกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างใกล้ชิด ซึ่งได้โฟกัสให้ธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อเพื่อผู้ส่งออก ให้เจาะในรายละเอียดกับลูกค้าแต่ละธนาคารว่าได้รับผลกระทบเท่าไหร่ ในลักษณะใดบ้าง  ให้รวบรวมรายละเอียดแล้วจัดประชุมผ่านสมาคมธนาคารไทย ซึ่งรองนายกฯ และรมว.คลังจะเข้าร่วมประชุมด้วยในโอกาสถัดไป

การเลื่อนการปรับขึ้นภาษีตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariffs) ออกไป 90 วัน ที่เริ่มมีผล 8 ก.ค. แต่ยังเก็บภาษีขั้นต่ำทุกประเทศเพิ่ม 10% (Universal Tariffs) นั้น ผมมองว่า วันที่ 9 ก.ค.นี้จะครบ 90 วัน ไม่ควรรอถึงวันที่ 9 ก.ค.2568 เช่น การส่งออกทางเรือ เรือออกวันที่ 10 มิ.ย.นี้ ใช้เวลา 1 เดือน จึงจะถึงสหรัฐ ซึ่งหากตกลงไม่ได้อาจจะเกิดปัญหาได้ มันจะเกิดได้หลายกรณีเช่น สินค้าเข้าไม่ได้ จะต้องปฏิบัติอย่างไร ก็ต้องเรียกลูกค้ามาคุยว่าขณะนี้การส่งออกก่อนวันที่ 9 ก.ค.จะเจออุปสรรคปัญหาอะไรหรือไม่ สั่งทุกธนาคารเปิดคลินิกหรือห้องหอเรียกลูกค้ามาคุยหารือว่าปัญหาของใครคืออะไร แล้วประมาณ 2 สัปดาห์จะเรียกสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมาคุยการบ้านจากครั้งแรก ว่ามีการออกมาตรการอะไรในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบ้าง

สำหรับแบงก์รัฐได้มอบนโยบายว่า ต้องแบ่งผลกระทบออกเป็น 3 ระดับ ประกอบด้วย กระทบน้อย ปานกลางและกระทบมาก ซึ่งต้องนำมุมมองกรณีกระทบมากมาหารือ คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่ส่งไปสหรัฐอเมริกา กลุ่มที่ 2 คือ เอสเอ็มอีที่ทำงานต่อเนื่องกับผู้ส่งออก กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มพนักงานและคนทำงาน ผู้รับจ้าง จุดนี้เป็นเฟสที่ 2 ที่จะเข้าไปช่วยเหลือต่อไป 

มาตรการจะเน้นดูแลเฟสที่ 1 คือ กลุ่มผู้ส่งออกไปสหรัฐ และเอสเอ็มอีที่เป็นห่วงโซ่กับผู้ส่งออกก่อนเป็นลำดับแรก ซึ่งขณะนี้บางกลุ่มก็มีการเตรียมนโยบายที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เช่น ธนาคารออมสินมีกลุ่มที่มีลูกค้าส่งออกอยู่แล้ว ตั้งแต่สัปดาห์หน้า ถ้าลูกค้าออมสินได้รับผลกระทบการส่งออกก็มาติดต่อได้ ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวงเงินว่าเท่าไหร่ ก็เตรียมเท่าที่ออมสินมีเงินอยู่ ซึ่งอาจลดดอกเบี้ยให้ผู้ส่งออกที่เป็นลูกค้าออมสินประมาณ 2-3% และออกสินเชื่อ Soft Loan วงเงิน 1 แสนล้านบาท ดอกเบี้ย 0.01% เพื่อให้แบงก์พาณิชย์นำไปปล่อยกู้ต่อไป เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกในระบบธนาคารพาณิชย์ด้วย 

ส่วนธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM BANK มีลูกค้าส่งออกประมาณ 3,000 ราย ถ้าส่งออกแล้วสะดุดชั่วคราว มี 2 แบบ คือ ชั่วคราวแบบสั้นๆ และชั่วคราวแบบยาว ต้องดูสภาพคล่องของลูกค้าว่ากรณีชั่วคราวสั้นๆ จะมีวงเงินชั่วคราวเท่าไหร่ที่ช่วยผู้ประกอบการได้ 

มาตรการบางอย่างที่แบงก์รัฐสามารถดำเนินการได้ทันที ก็ไม่ต้องรอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติ ยกเว้นกรณีมาตรการที่ต้องจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมจากรัฐบาล ในรูปแบบใดก็แล้วแต่ เช่น Soft Loan หรือเงินอุดหนุนอื่นๆ ก็ต้องขอมติที่ประชุม ครม. ทุกแบงก์ก็ต้องไปทำการบ้านมา เพื่อให้รัฐบาลมองขนาดไซส์ของปัญหาการส่งออกไปสหรัฐว่ามันเกิดปัญหาเท่าไหร่ เพื่อจะช่วยเหลือได้ถูกจุด วิธีที่จะรับมือได้ไวก็คือ แบ่งกำไรจากผลประกอบการ นำมาช่วยแก้ปัญหาภาคส่งออก ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารออมสินก็ใช้วิธีนี้ดำเนินการมาโดยตลอด กำไรหายไป 20% โดยที่ผ่านมาธนาคารออมสินก็ออก Soft Loan ปล่อยกู้ต่อไปยังธนาคารอื่นๆ อยู่แล้ว ยังพอมีวงเงินเหลืออยู่ ส่วนกรณีว่าแต่ละแบงก์จะต้องลดกำไรของตนเองเพื่อมาช่วยวิกฤตการส่งออกนี้เท่าไหร่ หารือกันอีกรอบ แต่การลดดอกเบี้ยแบงก์ต้องแข็งแรงอยู่ต่อไปได้ 


นายวิทัย  รัตนากร  ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะประธานสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า ขณะนี้ทุกสถาบันการเงินเฉพาะกิจรัฐมารับโจทย์และต้องรีบกลับมารายงานผลการติดตามลูกค้ส่งออกของแต่ละแบงก์ว่าเจอปัญหาและอุปสรรคอย่างไร เพื่อนำผลมาประเมินสถานการณ์ในภาพรวม ซึ่งในส่วนของธนาคารออมสินมีการจัดทำมาตรการเสร็จแล้ว จึงมีโครงร่างคร่าวๆ ในการชี้แจงในขณะนี้ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์จึงจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติได้ 

กรณี Soft Loan คือตัวเดิมวงเงิน 1 แสนล้านบาท ระยะเวลาสิ้นสุดสิ้นปี 2568 นี้ แต่มีระยะเวลาเบิกจ่ายถึงสิ้นปี 2569 ขณะนี้เบิกจ่ายแล้ว 7.5 หมื่นล้านบาท โดยจะมี Soft Loan อีกตัวหนึ่ง เป็นตัวใหม่ออกมาด้วยเพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากสงครามการค้าสหรัฐ แต่ขณะนี้ยังเป็นโครงร่างอยู่ โดยมีเป้าหมายช่วยผู้ส่งออกและซัพพลายเชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงเอสเอ็มอีที่ผลิตสินค้าที่ต้องต่อสู้กับสินค้าที่ไหลทะลักเข้าไทย , อสังหาริมทรัพย์บางส่วนและภาคการท่องเที่ยว แต่มีกระบวนการภายในธนาคารออมสินและยังต้องตัดสินใจร่วมกับกระทรวงการคลัง จึงจะเข้าที่ประชุม ครม.ได้