ทรัมป์ใช้สงครามการค้าเพิ่มรายได้ ไทยต้องเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง

ดร.กอบศักดิ์ ภู่ตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เผยบทวิเคราะห์สำคัญต่อแนวนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เดินหน้าใช้นโยบาย Tariffs หรือกำแพงภาษีนำเข้าอย่างจริงจัง เพื่อเป้าหมายหลักคือ “เพิ่มรายได้เข้ารัฐ”


ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่เผยแพร่โดย Wall Street Journal ระบุว่า รายได้จากภาษีนำเข้าในเดือนเมษายน 2025 พุ่งขึ้นเป็น 16.3 พันล้านดอลลาร์ จากระดับ 8.7 พันล้านดอลลาร์ในเดือนก่อนหน้า คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 87.4% ภายในเดือนเดียว สะท้อนผลของการบังคับใช้ภาษี 25% กับสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา อุตสาหกรรมเหล็ก–อลูมิเนียม และภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ราว 10% กับประเทศต่างๆ


การศึกษาของ Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย คาดว่า สหรัฐฯ อาจเก็บรายได้จาก Tariffs ได้เฉลี่ยปีละ 4–5 แสนล้านดอลลาร์ รวมกว่า 4.5–5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเพียงพอจะลดช่องว่างการขาดดุลการคลังราว 50% จากระดับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา


แม้รายได้ Tariffs จะไม่สามารถลดยอดหนี้ของรัฐบาลกลางที่สูงกว่า 31 ล้านล้านดอลลาร์ได้ทันที แต่ถือเป็น “ช่องใหม่” ที่อาจช่วยหนุนให้รัฐบาลมีงบประมาณสำหรับลดภาษีแรงงาน เช่น ยกเว้นภาษีเงินทิป ภาษีโอที และภาษีประกันสังคม ซึ่งทรัมป์เคยหาเสียงไว้ และเตรียมประกาศใช้ในไม่ช้า


นอกจากนี้ การเดินหน้ากำแพงภาษียังกลายเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทต่างชาติจำนวนมากยื่นแสดงความจำนงจะลงทุนผลิตในสหรัฐฯ โดยล่าสุดมีตัวเลขกว่า 5–6 ล้านล้านดอลลาร์ในระบบ พร้อมกับโครงสร้างภาษีนำเข้าใหม่ที่กำลังเป็นรูปเป็นร่าง โดยประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำชัดว่าทุกรัฐบาลต้องเก็บภาษีนำเข้า “ขั้นต่ำ 10%” แม้จะเป็นประเทศคู่ค้าที่เปิดกว้างทางการค้าก็ตาม


กรณี “จีน” ที่อยู่ระหว่างหยุดคิดภาษี 90 วัน (Pause) ก็ยังไม่มีการยกเว้นภาษีสินค้าชิ้นเล็ก ราคาต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 90% ของสินค้าจากจีนที่เข้าท่าเรือสหรัฐฯ และต้องเสียภาษีรวมสูงถึง 54% (10+10+34%)


ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการค้าโลก รวมถึงอนาคตการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะความเสี่ยงจาก “China Flooding” ที่อาจทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย หากถูกกีดกันจากสหรัฐฯ


ดร.กอบศักดิ์สรุปว่า “ไทยต้องเร่งหาตลาดใหม่ กระจายความเสี่ยงจากตลาดเดิม และเตรียมทางออกเชิงรุก เพื่อรับมือแรงกระแทกจากโครงสร้างการค้าโลกใหม่ที่กำลังก่อตัวอย่างชัดเจน.”