SAMART ประกาศไตรมาสแรกปี 68 รายได้โต กำไรพุ่ง

SAMART ประกาศไตรมาสแรกปี 68 รายได้โต กำไรพุ่ง

กลุ่มบริษัทสามารถ แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1 / 2568 มีรายได้รวม 2,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนกว่า 38% มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจ รวม 185 ล้านบาท ด้วยผลประกอบการรวมของทุกสายธุรกิจในเครือนับจากต้นปี 68 มีแนวโน้มที่ดีและเติบโตในทิศทางบวก 

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น ชี้แจงว่ารายได้รวมของกลุ่มสามารถในไตรมาส 1 / 2568 สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างและแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีรายได้รวม 2,897 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 38% มีกำไรอยู่ที่ 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130 ล้านบาท หรือคิดเป็น 237% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 14 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยในไตรมาสนี้ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาคดีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างบริหารจัดการขยะในพื้นที่บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ที่ได้ยื่นฟ้องไปตั้งแต่ปี 2559) โดยเมื่อคำนวณตามสัดส่วนงานตามสัญญา บริษัทต้องร่วมรับผิดชำระค่าปรับและค่าเสียหาย โดยสุทธิจากเงินค่าบริการงวดที่ 60 - 120 ที่บริษัทยังมิได้รับชำระ จำนวน 95 ล้านบาท และเงินตามภาระหนังสือค้ำประกันที่บริษัทได้ชำระไปแล้ว รวมเป็นเงินสุทธิจำนวน 4 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยปัจจุบันคดีอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ ส่งผลให้บริษัทได้มีการรับรู้ผลขาดทุนจากประมาณการทางบัญชีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีความทั้งหมดรวมเป็นจำนวน 129 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจจำนวน 56 ล้านบาท

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาผลงานและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทโดยรวม ทั้งกลุ่มมีการเซ็นต์สัญญาโครงการเฉพาะไตรมาส 1 รวมแล้วกว่า 1,360 ล้านบาท เรามั่นใจว่าถึงแม้เราจะต้องรับรู้ผลขาดทุนจากประมาณการทางบัญชีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีความ แต่กลุ่มสามารถจะยังคงสร้างผลงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2568 อย่างแน่นอน เพราะจากผลงานของทุกสายธุรกิจมีโครงการที่ช่วยส่งเสริมให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ทาง TRIS Rating ได้มีการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของ SAMART และ SAMTEL จาก BBB (Positive Outlook) เป็น BBB+ (Stable Outlook) ซึ่งแสดงถึงความความมีเสถียรภาพ และความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

สายธุรกิจ Digital ICT Solution 

โดย บมจ.สามารถเทลคอม มีรายได้รวม  1,339ล้านบาท และมีกำไร 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 240 %  จากช่วงเดียวกันปีก่อน  และจากเป้าหมายมูลค่างานที่คาดว่าจะเซ็นในปีนี้รวม 9,500 ล้านบาท  ในไตรมาสแรกของปีได้มีการเซ็นสัญญารวมถึงชนะงานโครงการใหม่ไปแล้วรวมกว่า 4,000 ล้านบาท อาทิ โครงการที่ดำเนินการกับ บมจ.ท่าอากาศยานไทยบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น รวมมูลค่างานในมือรอการรับรู้ประมาณ 7,900 ล้านบาท 

สายธุรกิจ Digital Communications 

โดย บมจ. สามารถดิจิตอล มีรายได้รวม 141 ล้านบาท และมีกำไร สุทธิ 19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 18 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสายธุรกิจนี้ ทั้งนี้รายได้หลักมาจากธุรกิจ Digital Trunked Radio ซึ่งมีการส่งมอบอุปกรณ์วิทยุสื่อสารให้แก่องค์กรผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทยอยรับรู้รายได้ประจำเพิ่มขึ้นจากค่าบริการ Air Time ต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน DTRS อยู่ในมือและใช้บริการอยู่แล้วประมาณ 79,000 เครื่อง และคาดว่าในไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้นอีก 500 – 1,000 เครื่อง รวมมูลค่างานในมือสะสมรวม 829 ล้านบาท 

สายธุรกิจ Utilities & Transportations

มีรายได้รวม 1,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนกว่า 29% โดยผลประกอบการที่โดดเด่นมาจากธุรกิจด้านวิทยุการบินของบมจ.สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่น หรือ SAV โดยไตรมาสแรก ปี 68 มีรายได้ถึง 500 ล้านบาท และกำไรมากถึง 142 ล้านบาท ถึงแม้จะเป็นช่วง Low season ก็ยังสามารถทำรายได้และกำไรสุทธิเป็นสถิติสูงที่สุดหลังยุคโควิด-19 จากจำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการรวมทุกประเภทที่มีจำนวนถึง 30,819เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 6,685 เที่ยวบิน หรือเพิ่มขึ้น 28คาดว่าหลังเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ หรือสนามบินนานาชาติเตโชในกลางปีนี้ จะสร้างความคึกคักให้แก่การท่องเที่ยวกัมพูชา โดยน่าจะมีเที่ยวบินขึ้นลงตลอดทั้งปีแตะ 1.3 แสนเที่ยว ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้ประจำที่ทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่องจากโครงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ด้วยระบบ Direct Coding ซึ่งมีอายุสัญญานานถึง 7ปี โดยมีรายได้ไตรมาสแรกปี 68 อยู่ที่ 259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจก่อสร้างโครงการสายส่งสถานีไฟฟ้าแรงสูงแบบครบวงจรก็ยังสามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้ไตรมาสแรกปี 68 อยู่ที่ 543 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 39% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

นายวัฒน์ชัย กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ภาพรวมบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคง และเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เรามองหาโอกาสใหม่ในการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ และเตรียมความพร้อมให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่องทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากร เพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ภายใต้ความตั้งใจของเราที่ต้องการนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า และมอบบริการหลังการขายที่ดีที่สุดด้วย”