นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ประจำเดือนเมษายน 2568 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กรกฎาคม 2568) ยังคงอยู่ในเกณฑ์ "ซบเซา" ที่ระดับ 64.10 ผลสำรวจชี้ว่า นักลงทุนมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือ การไหลเข้าของเงินทุน และ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังคงกดดันความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุดคือ สงครามการค้า ตามด้วย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และ สถานการณ์การเมืองในประเทศ
เมื่อพิจารณาแยกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นของ นักลงทุนบุคคล, กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์, และ นักลงทุนต่างประเทศ ยังคงอยู่ในเกณฑ์ "ซบเซา" ขณะที่ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน มีความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" สำหรับหมวดธุรกิจที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดคือ หมวดธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดยานยนต์ (AUTO) ตลาดทุนไทยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยภายนอก เช่น การประกาศมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และปัจจัยภายในประเทศ เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาดการณ์ ภาคการท่องเที่ยวที่ไม่เติบโตเท่าที่ควร รวมถึงการที่ Moody's ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็นเชิงลบ
อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนไทยยังได้รับแรงหนุนจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ส่งผลให้ SET Index ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 ปิดที่ 1,197.26 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิไปกว่า 14,588 ล้านบาทในเดือนเมษายน และมียอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีรวม 54,567 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ได้แก่ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศเศรษฐกิจหลัก, การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, และ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่ยังคงมีความไม่แน่นอน สำหรับปัจจัยในประเทศที่น่าติดตามคือ การเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ และ การเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2568 ผ่านการสับเปลี่ยนกองทุน LTF มายังกองทุน ThaiESGX และการเปิดให้ลงทุนเพิ่มในกองทุน ThaiESGX เพื่อลดหย่อนภาษีปี 2568 ได้สูงสุด 6 แสนบาท