SCC กำไร Q1/68 โตแตะ 1,099 ล้านบาท เดินหน้า 4 กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตการค้าโลก

       นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เผยว่า ไตรมาส 1 ปี 2568 เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 1,099 ล้านบาท เนื่องจากทุกธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ตามมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเร่งยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุนการผลิตและการบริหาร จัดการ รวมทั้งการขยายตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง มีความต้องการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลก่อสร้างและงบประมาณภาครัฐที่เบิกจ่ายต่อเนื่อง ขณะที่เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี)ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารต้นทุนและปรับพอร์ตสินค้า รวมถึงเอสซีจีพี ที่ยังคงแข็งแกร่งจากการมุ่งเน้นการเติบโตเพื่อรองรับอุปสงค์ของผู้บริโภคภายในประเทศของกลุ่มอาเซียน เสริมพอร์ตสินค้าสำหรับผู้บริโภค (Consumer Packaging) ควบคู่กับการบริหารต้นทุน


        ขณะเดียวกัน เอสซีจี ได้ดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริหาร จัดการกระแสเงินสด ต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2568 เอสซีจี มีกระแสเงินสด (EBITDA) 12,889 ล้านบาท สะท้อนการปรับตัวฉับไวของธุรกิจเพื่อคงศักยภาพการแข่งขันท่ามกลางความท้าทาย  สำหรับสถานการณ์สงครามการค้าโลกจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่รุนแรง ล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ" (IMF) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 2.8% ปัจจัยสำคัญมาจากการลดประมาณการ GDP ลงเกือบทุกประเทศ สำหรับ GDP ประเทศไทย ปรับลดลงเหลือ 1.8%


        ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส1 ปี 2568 งบการเงินรวมของเอสซีจี ไตรมาส 1 ปี 2568 มีกระแสเงินสด (EBITDA) 12,889 ล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากไตรมาสก่อนมีเงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA from Operations) 11,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทุก ธุรกิจ รายได้จากการขาย 124,392 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณขายที่ลดลงของเอสซีจีเคมิคอลล์ (เอสซีจีซี) โดยเฉพาะของโรงงาน LSP ขณะที่มีกำไรสำหรับงวด 1,099 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 512 ล้านบาท จากการบริหารจัดการภายในและการปรับปรุงประสิทธิภาพของทุกธุรกิจ รวมถึงจากความต้องการตามฤดูกาลเพิ่มขึ้นของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากเอสซีจีซีและเอสซีจีพี


       เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA เพิ่มขึ้น 2% จากเอสซีจีซี และจากการบริหารจัดการภายในอย่างต่อเนื่องจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง รายได้จากการขายใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไรสำหรับงวดลดลง 55% สาเหตุหลักจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน เอสซีจีซี มีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ประกอบกับไตรมาส 1 ปี 2568 ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของเอสซีจีซีลดลงและค่าใช้จ่ายจากโรงงาน LSP เพิ่มขึ้น (จากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ย) รวมถึงผลการดำเนินงานที่ลดลงของเอสซีจีพี่


สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services - HVA) ไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้ 37,709 ล้านบาท คิดเป็น 38% ของรายได้จากการขายรวม


สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice ไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้ 64,540 ล้านบาท คิดเป็น 52%ของรายได้จากการขายรวม


รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากไทย ไตรมาส 1 ปี 2568 ทั้งสิ้น 54,296 ล้านบาท คิดเป็น 44% ของยอดขายรวม


สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มีมูลค่า 848,076 ล้านบาท โดย 46% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากไทย)


       เอสซีจี ได้ประเมินสถานการณ์และผลกระทบจากสงครามการค้าโลก พบว่า 1.) ผลกระทบทางตรง ต่อเอสซีจี มีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 2567 มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 1% จากยอดขายรวมของเอสซีจี 2.) ผลกระทบทางอ้อม หากพ้นระยะที่สหรัฐฯ ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีนำเข้า 90 วัน กลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อาจถูกเก็บอัตราภาษีที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง36% ตามที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2568 จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและโลกจะชะลอตัว รุนแรง การส่งออกระหว่างประเทศ รวมถึงการทะลักของสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทย จะส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น


        สงครามการค้าได้สร้างแรงกดดันทั่วโลก แต่ยังมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ เช่น แนวโน้มราคา น้ำมันโลกที่ลดลง ผู้ผลิตปิโตรเคมีในจีนประสบปัญหาการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ตลอดจนบางตลาดยังมีกำลังซื้อ สูงสำหรับสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High-Value Added Products - HVA Products) สินค้ากรีน (Green Products) และ สินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้ (Quality Affordable Products) เอสซีจี จึงยกระดับการปรับตัวให้เข้มข้นรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.) ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก

2.) ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ ทั้ง สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง สินค้ากรีน และสินค้า คุณภาพ ราคาจับต้องได้ 3.) บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง และ 4.) สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน ประกอบกับมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินที่ทำต่อเนื่องอย่างได้ผล ทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจจะสามารถฝ่าความท้าทายจากสงครามการค้าโลกได้อย่างทันท่วงที


    

        อย่างไรก็ตาม แม้สงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอน และอุปสงค์เคมีภัณฑ์ชะลอตัว แต่ เอสซีจีซี คาดว่าจะได้รับอานิสงสบวกจากราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเคมีภัณฑ์ลดลง เอสซีจีซี จึงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการเชิงรุกได้แก่ 1.) ลดต้นทุนบริหารอย่างต่อเนื่อง 2.) เพิ่มความยืดหยุ่นของ ซัพพลายเชนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งเตรียมความพร้อมของโครงการลองเซินปิโตรเคมิคอลส์ ที่ประเทศเวียดนาม (LSP) ให้กลับมาเดินเครื่องได้เมื่อสถานการณ์เหมาะสม และ 3.) เร่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง พร้อมขยาย ธุรกิจสินค้ากรีน และดิจิทัล โซลูชัน เช่น DRS by Repco NEX


       เอสซีจีเล็งเห็นถึงความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจฐานราก และได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากสถานการณ์สงครามการค้าโลก จึงพร้อมเปิดบ้านสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ถ่ายทอดความรู้ เสริมศักยภาพ และช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ ผ่านโครงการ 'Go Together' ที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และจะครบเป้าหมายเฟสแรก 1,200 คนในเดือนพฤษภาคมนี้ รวมถึงโครงการ 'NZAP' ที่มีผู้เข้าร่วมแล้ว 106 ราย ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันนี้ เราจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน