คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บล.เอเชีย พลัส (ASP) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2 ว่ายังคงมีความไม่แน่นอนสูง ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยระบุว่า "SET กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง"
ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ "Selective Buy" โดยเน้นลงทุนในหุ้นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแกร่ง มีอัตราเงินปันผลสูง (High Dividend Yield) และมีศักยภาพการเติบโตของกำไรที่ดี (Profit Growth) ในปี 2568-2569 หุ้นเด่นที่แนะนำ ได้แก่ SCC, CALL, BDMS, WHA, KCE, CK, AP, SCGP และ BBL
ขณะเดียวกัน บล.เอเซีย พลัส มองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 1068 จุดนั้นปรับตัวลงมามากเกินไป ทำให้ราคาหุ้นโดยรวมอยู่ในระดับที่ถูก เมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี (PBV) ที่ต่ำสุดในระดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้ อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ของตลาดหุ้นไทยก็อยู่ในระดับที่สูงถึง 4.4% ซึ่งถือว่าน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว
อย่างไรก็ตาม บล.เอเชีย พลัส ยังคงระมัดระวังถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียน เช่น ราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มลดลง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบ
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2568 บล.เอเซีย พลัส ประเมินเบื้องต้นว่าอาจชะลอตัวลงต่ำกว่า 2.0% จากปัจจัยกดดันด้านการแข่งขันในตลาดโลกและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาครัฐอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการคลังและการเงิน รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. อย่างน้อย 1 ครั้ง
ด้านตลาดตราสารหนี้ บล.เอเซีย พลัส มองว่ายังคงมีความผันผวน โดยแนะนำนักลงทุนให้เลือกซื้อตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตสูงและอายุไม่เกิน 1-3 ปี หรือลงทุนใน Perpetual Bonds และหุ้นกู้อันดับเครดิตสูงในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในช่วงเปลี่ยนผ่าน 1-2 ปีข้างหน้า และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ตลาดให้น้ำหนักกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ มากขึ้น
บล.เอเซีย พลัส มองว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโลกในยุค TRUMP 2.0 เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศในวงกว้าง แม้ว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ต่อคู่ค้าหลายประเทศจะถูกเลื่อนออกไป 90 วัน แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังท่าทีของสหรัฐฯ ต่อจีน
ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้นหุ้นกลุ่ม พื้นฐานดี (Fundamental Play) ที่มีความแข็งแกร่ง, เน้นตลาดในประเทศ (Domestic Play) เพื่อลดผลกระทบจากต่างประเทศ, กลุ่ม Defensive ที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และ หุ้นปันผลสูง (High Dividend Yield) เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน หุ้นเด่นในกลุ่มนี้ ได้แก่ China Mobile, Coca-Cola, Costco, Eli Lily, Fast Retailing, Giant Biogene, Gree Electric, Midea, Netflix, Tingyi, Walmart และ Sea Limited