PTTEP เผยกำไรครึ่งปีแรก 409 ล้านบาท

ปตท.สผเผยผลประกอบการครึ่งแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิ 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) โดยยังคงมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) คณะกรรมการบริษัทได้ อนุมัติปันผลระหว่างกาล 1.50 บาท/หุ้น รวมทั้ง บริษัทยังได้กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจระยะยาว รับมือกับเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชนหรือ ปตท.สผเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2563 ปตท.สผมีรายได้รวม 2,779 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 87,549 ล้านบาทลดลงประมาณร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับรายได้รวม 3,001 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 94,830 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปี 2562  โดยมีปริมาณขายเฉลี่ยอยู่ที่ 345,207 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จาก 326,971 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัท เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในประเทศมาเลเซีย และบริษัท พาร์เท็กซ์ โฮลดิ้ง บี.วี

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเลียมทั่วโลกลดลงอย่างมาก ประกอบกับสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียกับรัสเซียเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคานํ้ามันดิบปรับตัวลดลงกว่าร้อยละ 50 จากต้นปีที่ผ่านมา มีผลให้ราคาขายผลิตภัณฑ์ของ ปตท.สผเฉลี่ยลดลงประมาณร้อยละ 15 มาอยู่ที่ 40.15 ดอลลาร์ สรอต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เมื่อเทียบกับ 47.26 ดอลลาร์ สรอต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในช่วงเดียวกันของปี 2562 ราคาขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท ปรับตัวลดลงในสัดส่วนที่น้อยกว่าราคาน้ำมันดิบโลก ด้วยโครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติของ ปตท.สผ.ผูกกับราคาน้ำมันเพียงส่วนหนึ่งและมีการปรับราคาย้อนหลังประมาณ 6-24 เดือน ส่วนของน้ำมันดิบซึ่งมีปริมาณการขายประมาณร้อยละ 30 ของปริมาณการขายทั้งหมด ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง บริษัทได้ทำสัญญาประกันความเสี่ยงไว้แล้วบางส่วน นอกจากนี้ บริษัทมีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ (Impairment) จำนวน 47 ล้านดอลลาร์ สรอซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ ประเทศแคนาดา เนื่องจากคาดการณ์ราคาน้ำมันในระยะยาวที่จะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผมีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรก จำนวน 409 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 12,935 ล้านบาทลดลงร้อยละ 51 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 827 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 26,163 ล้านบาทโดยบริษัทยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยที่ 30 ดอลลาร์ สรอต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา ในระดับร้อยละ 70 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 

ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2563 นั้น ปตท.สผมีรายได้รวม 1,095 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 34,954 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 134 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 4,323 ล้านบาทจากปริมาณการขายและราคาผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้พลังงานที่ลดลงจากสถานการณ์โควิด-19 และราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำในช่วงที่ผ่านมา

จากผลประกอบการข้างต้น คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2563 ที่ 1.50 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 14 สิงหาคม 2563 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2563 

นายพงศธร กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีความผันผวน ประกอบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้พลังงานในประเทศ ปตท.สผจึงได้ปรับลดคาดการณ์ปริมาณการขายในปี 2563 เป็น 355,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ลดลงประมาณร้อยละ 9 จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้อย่างไรก็ตามบริษัทได้ปรับลดงบประมาณในปีนี้ลงร้อยละ 15-20 จากเดิมที่ตั้งไว้ 4,613 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 143,012 ล้านบาทโดยได้พิจารณาตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนและเลื่อนแผนการเจาะสำรวจในบางโครงการออกไป โดยยังสามารถรักษาระดับการผลิตตามสัญญาเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ภายในประเทศรวมทั้งได้ปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์การดำเนินงานด้านต่าง  เพื่อรองรับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่มีความท้าทาย พร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว  


ปตท.สผได้ประเมินผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจในอนาคต เราจึงได้กำหนดทิศทางการดำเนินการและเป้าหมายระยะยาวใน 10 ปีข้างหน้า (ปี 2573) เพื่อให้บริษัทสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึง การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างท้าทายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวการณ์ปัจจุบันที่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยหลัก  แล้ว เรายังคงมุ่งเน้นเรื่องการปรับลดโครงสร้างต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าที่จะลดต้นทุนต่อหน่วยให้อยู่ในระดับชั้นนำของกลุ่มอุตสาหกรรม (Industry top quartile) เพื่อให้บริษัทมีความคล่องตัวและรองรับการเปลี่ยนแปลงในช่วงราคาน้ำมันผันผวน โดยจะยังคงมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสำหรับการลงทุนต่อยอดธุรกิจในด้านต่าง  ไม่ว่าจะเป็นด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และการเข้าซื้อกิจการซึ่งยังคงเน้นการลงทุนในประเทศไทย เมียนมา มาเลเชีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของการผลิตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ 5 และมีอัตราส่วนปริมาณสำรองต่อการผลิต (R/P ratio)ที่ 7 ปี  นอกจากนี้ บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงโรงงานผลิต (Upstream & Liquefaction) และการลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยปตท.สผ.ให้ความสนใจกับการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์  เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านธุรกิจพลังงานและการเติบโตในอนาคต ซึ่งตั้งเป้าว่าธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะสามารถสร้างผลกำไรได้ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิของ ปตท.สผในอีก 10 ปีข้างหน้า ” นายพงศธร กล่าว 

นอกจากนี้ ปตท.สผ.ยังได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) โดยเน้นการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ระบบงานต่าง  รวมทั้ง การพัฒนาบุคลากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดต้นทุนการผลิตให้มากขึ้นอีกด้วย