SCC เผยผลประกอบการ ปี 66 เร่งเครื่องธุรกิจปี 67 รุกธุรกิจกรีน มุ่งสร้างการเติบโตพร้อมสังคม Net Zero งบลงทุน 40,000 ลบ. ปักหมุดซาอุฯ เชื่อมต่อการค้าทั่วโลก

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เผยว่า ผลประกอบการ เอสซีจี ปี 2566 มั่นคง แม้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก จีน และอาเซียนชะลอตัว ตลาดปิโตรเคมียังอ่อนตัว ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ลดลง มีรายได้ 499,646 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง และการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics กำไร 25,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อน สาเหตุหลักจากกำไรของการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 


ไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้ 120,618 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่รวมรายการพิเศษ 502 ล้านบาท ทั้งนี้ มีขาดทุนสำหรับงวด 1,134 ล้านบาท จากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในเมียนมา และรวมผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมี ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ อย่างไรก็ตาม เอสซีจียังคงรักษาความมั่นคงของสถานะการเงินได้อย่างต่อเนื่อง สิ้นปี 2566 มีเงินสดคงเหลือ 68,000 ล้านบาท 


ปี 2567 เอสซีจีทุกกลุ่มธุรกิจเร่งเครื่องสร้างการเติบโตอย่างเต็มที่ทั้งไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยนวัตกรรมปูนคาร์บอนต่ำ สมาร์ทโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัย พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่ใช้ซ้ำ รีไซเคิลได้ พลังงานสะอาดครบวงจร และนวัตกรรมเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงจากโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ คว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการของไทย คาดว่าตลาดอาเซียนจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนาม มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจกรีนที่สร้างการเติบโตให้ธุรกิจพร้อมสร้างสังคม Net Zero ที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ตั้งงบลงทุน 40,000 ล้านบาท เน้นลงทุนนวัตกรรมรักษ์โลก พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีความต้องการและเติบโตได้อีกมาก 


เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี ซึ่งมีโอกาสเติบโตอีกมาก หากเร่งผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพร้อมเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และอำนวยความสะดวกในการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ควรส่งเสริมการดำเนินธุรกิจตาม ESG ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับ เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว ล่าสุด เอสซีจี ได้รับดัชนีความยั่งยืนชั้นนำโลก ESG Industry Top Rated ลำดับที่ 1 จาก 125 บริษัทในกลุ่ม Industrial Conglomerate ทั่วโลก ซึ่งจัดอันดับโดย Morningstar Sustainalytics สะท้อนถึงธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่กับการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จากการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ ESG 4 Plus 


ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 6.0 บาท รวมเป็นเงิน 7,200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54 ของกำไรไม่รวมรายการพิเศษ ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.5 บาท เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 3.5 บาท  การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 5 เมษายน 2567 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 4 เมษายน 2567) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 เมษายน 2567 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี”


ผลการดำเนินงานปี 2566 ในภาพรวม งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2566 มีรายได้จากการขาย 499,646 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง และการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics กำไรสำหรับปี 25,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อน สาเหตุหลักจากกำไรของการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566   ไตรมาส 4 ปี 2566 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 120,618 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่รวมรายการพิเศษ 502 ล้านบาท ทั้งนี้ มีขาดทุนสำหรับงวด 1,134 ล้านบาท จากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในเมียนมา และรวมผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมี ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ 


สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มปี 2566 มีรายได้ 167,691 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม  สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice ปี 2566 มีรายได้ 270,716 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54 ของรายได้จากการขายรวม  รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยในปี 2566 ทั้งสิ้น 215,630 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43 ของยอดขายรวม  สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีมูลค่า 893,601 ล้านบาท โดยร้อยละ 46 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากไทย)


ผลการดำเนินงานปี 2566 แยกตามรายธุรกิจ ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 191,482 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 จากปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าลดลง กำไรสำหรับปี 589 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 90 จากปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาขายลดลงและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง  สำหรับไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 46,259 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่ลดลง และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น มีขาดทุนสำหรับงวด 2,560 ล้านบาท สาเหตุจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลงและรับรู้ค่าใช้จ่ายของโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ซึ่งมาจากค่าเสื่อมราคาเป็นหลัก ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 189,348 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากปีก่อน สาเหตุหลักจากการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics และสถานการณ์ตลาดในภูมิภาค กำไรสำหรับปี 13,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 170 จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมในไตรมาสแรกของปี 2566 ขณะที่ กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่รวมรายการพิเศษ อยู่ที่ 3,668 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34 จากปีก่อน


สำหรับไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 45,101 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics รวมถึงได้รับผลกระทบจากตลาดภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชา มีขาดทุนสำหรับงวด 1,127 ล้านบาท สาเหตุจากความท้าทายของตลาดอาเซียน และรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในเมียนมา ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่รวมรายการพิเศษ อยู่ที่ 509 ล้านบาท  ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 85,845 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน และไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 20,115 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 24,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 5,696 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ธุรกิจเอสซีจี เดคคอร์ ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 28,312 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากปีก่อน และไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 6,802 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 126,941 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากปีก่อน และไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 30,526 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


ธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP ปี 2566 มีรายได้จากการขาย 129,398 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากปริมาณขายและราคาขายที่ลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษ กำไรสำหรับปี 5,248 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปริมาณขายและราคาขายลดลง  สำหรับไตรมาส 4 ปี 2566  มีรายได้จากการขาย 31,881 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างล่าช้าโดยเฉพาะในประเทศจีน นอกจากนั้นภาคการส่งออกของภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยยังชะลอตัว ขณะที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน จากการฟื้นตัวของความต้องการบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปลายปี การส่งออกของภูมิภาคอาเซียนที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจำพวกอาหาร รวมถึงปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียที่มากขึ้น กำไรสำหรับงวด 1,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 171 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับการขยายกำลังการผลิตในกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค และการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ขณะที่ลดลงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากต้นทุนทางการเงิน ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายทางภาษีที่สูงขึ้น


#SCG #SCC #SET #IPO #StockReview #BusinessLineandlife #ข่าวประจำวัน #ข่าวธุรกิจ