บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินดัชนี SET วันนี้มีโอกาสรีบาวน์ แนะพักเงินกลุ่มปลอดภัย & ปันผลสูง เช่น INTUCH, BH, AP, DMT, SAT รอการประชุม FED & ECB

บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ประเมินดัชนี SET วันนี้มีโอกาสรีบาวน์จากภาวะขายมากเกินไป โดยมีแนวรับ 1,370 – 1,375 แนวต้าน 1,385 – 1,390 แต่การฟื้นตัวยังจำกัด ระหว่างรอการประชุม FED & ECB แนะพักเงินกลุ่มปลอดภัย & ปันผลสูง เช่น INTUCH, BH, AP, DMT, SAT / เก็งกำไรหุ้นที่มีสัญญาณบวกทางเทคนิค เช่น TKN, CBG, PRM, BSRC, SUN  

ICHI* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 19.80 บาท) แนวโน้มกำไร 4Q66 ลดลง QoQ จากที่เป็นช่วง Low season แต่จะเติบโตได้ YoY ต่อเนื่องจากยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ดีขึ้น ส่วนแนวโน้มปี 67 ผู้บริหารคาดรายได้โต +10%YoY เป็น 8.8 พันล้านบาท โดยในช่วง 1Q67-2Q67 คาดเห็นกำไรโตได้ทั้ง QoQ, YoY หนุนจากการเข้าสู่ฤดูร้อน ประกอบแรงกดดันราคาน้ำตาลและ PET Resin ที่ปรับลดลง นอกจากนี้ผู้บริหารมองตลาดชาเขียวพร้อมดื่มในประเทศไทยยังสามารถเติบโต พร้อมทำการตลาดสินค้ากลุ่มอื่นในกลุ่ม Healthy Trend กลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลม รวมถึงธุรกิจรับจ้างผลิต เพื่อเดินหน้าสู่ยอดขาย 1 หมื่นล้านบาท ภายใน 2 ปี (ปี 68) ปัจจุบันอัตราการใช้กำลังผลิตโดยเฉลี่ยยังอยู่ในระดับสูง และมีแผนเพิ่มไลน์การผลิต +13% เป็น 1,700 ล้านขวด ในช่วง 4Q67-1Q68 ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี 66-67 ที่ 1.07 พันล้านบาท +66%YoY และ 1.15 พันล้านบาท +8%YoY

TKN* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 12.50 บาท) กำไรสุทธิ 9M66 อยู่ที่ 576 ลบ.,+84%YoY ฟื้นตัวดีตามรายได้ขายที่+27%YoY ซึ่งนอกจากจะมีแรงหนุนจากการบริโภคฟื้นตัว PostCovid-19 ในไทย/จีนแล้ว ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมจาก การขยายช่องทางจำหนายในสหรัฐฯผ่านทาง COSTCO ด้านการดำเนินงานช่วงถัดไป ผู้บริหารวางเป้ารายได้ปี67 จะเติบโต +10-15%  โดยตลาดตปท. เช่น จีน อินโดนีเซีย และ สหรัฐฯ ยังมีการเติบโตที่ดี สัดส่วนยอดขายตปท.ที่ 66% สัดส่วนยอดขายไทยอยู่ที่ 34%(จาก 9M66 ที่สัดส่วนตปท. และ ไทยอยู่ที่  64% และ 36%) ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี66 และ ปี67 ของ TKN* ที่ 730 ลบ. (+68%YoY) และ 814 ลบ.(+11%YoY)

.

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐโดยวานนี้ปรับลดลง หลังยอดค้าปลีกสหรัฐ ธ.ค. 5.6% สูงกว่า พ.ย. 4.0% YoY และ NAHB เผยดัชนีเชื่อมั่นผู้สร้างบ้าน ม.ค. +7 จุด อยู่ที่ 44 สูงสุดนับตั้งแต่ ก.ย. 66 บ่งชี้การเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง ส่งผลให้เฟดอาจตรึงดอกเบี้ยสูงต่อไป ซึ่ง CME Fed Watch ชี้มีโอกาส 53.8% & เดิม 60% คาดเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยใน มี.ค. และ US Bond Yield 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.1% นักลงทุนรอฟังความเห็นของ ปธ.เฟดสาขานิวยอร์ค จอห์น วิลเลี่ยมส์ (สายกลาง) ก่อนเข้าช่วง Blackout Period ก่อนการประชุมเฟดวันที่ 31 ม.ค. นี้ 

.

โดยค่ำวันนี้ติดตามตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขเริ่มสร้างบ้านสหรัฐ ธ.ค. ส่วนตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ หลัง ปธ.ECB คริสติน ลาการ์ด เผย ECB กำลังดำเนินมาตรการเพื่อกดดันให้เงินเฟ้อลงสู่ระดับเป้าหมาย 2 % แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งสวนทางกับตลาดคาดว่า ECB จะลดดอกเบี้ยปีนี้ 1.50% ขณะที่ ONS อังกฤษเผย CPI ธ.ค. ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.0% & พ.ย. 3.9% YoY เป็นผลจากอากรบุหรี่ และตั๋วเครื่องบินปรับขึ้น ส่งผลให้ตลาดคาด BOE มีโอกาส 60% จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงกลางปีนี้ และอาจช้ากว่า ธนาคารกลางอื่น ๆ 

.

ทางฝั่งดัชนีภูมิภาคเอเชียวานนี้ปรับลดลง หลัง GDP จีน Q4/66 +5.2% & Q3/66 +4.9% YoY แต่ต่ำกว่าคาดที่ +5.3% กอปรกับมีสัญญาณการบริโภคชะลอตัวจากภาวะเงินฝืด, การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว และปัญหาหนี้ภาคอสังหา ฯ คาดจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า และกระทบลบต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าในเอเชีย สำหรับดัชนี SET วานนี้ -1.5% ปริมาณการซื้อขาย 5.6 หมื่น ลบ. ต่างชาติขาย 5.7 พัน ลบ. พอร์ตโบรกขาย 540 ลบ. รายย่อยซื้อ 6.1 พัน ลบ. ดัชนีถูกกดดันจากกลุ่ม Big Cap เช่น วัสดุก่อสร้าง, บรรจุภัณฑ์, ปิโตรเคมี และขนส่ง ซึ่งเป็นกลุ่ม Global Play ที่พึ่งพาอุปสงค์จากจีนที่ปีนี้คาดชะลอตัวต่อเนื่อง กอปรกับ US & Euro Bond Yield ปรับขึ้นจากความไม่แน่นอนว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ใน มี.ค. หรือไม่ ส่งผลให้ Dollar Index แข็งค่าขึ้น สวนทางกับค่าเงินบาทอ่อนค่าวานนี้ปิดที่ 35.52 บาท/USD. ปัจจัยลบกดดันให้ Fund Flow ชะลอตัว ส่วนปัจจัยในประเทศรอความชัดเจน ม.ดิจิทัล วอลเล็ต และรายงานกำไรกลุ่มธนาคาร

.

.

#สรุปภาวะการลงทุน #SET #StockReview #BusinessLineandLife #ข่าวการลงทุน #ข่าวหุ้น #สรุปสภาวะตลาด #คิงส์ฟอร์ด #Kingsford #KingsfordSec