เอเชียพลัส SET INDEX ยังคงอยู่ในกรอบแคบ ๆ หุ้นเด็ดได้แก่ CRC, PTTEP และ TISCO

    บริษัทหลังทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ ดูยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีน้้าหนักในการขับเคลื่อนตลาด ประเด็นหลักยังอยู่ที่การคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ย โดยในสหรัฐฯ คาด ดอกเบี้ยอาจคงที่เพดาน 5.5% และเริ่มลดลงในช่วงเดือน พ.ค.67 เปลี่ยนจากเดิม ที่คาดว่าจะลดลงในเดือน มี.ค.67 ซึ่งเป็นผลมาจากการประกาศตัวเลขภาคแรงงานที่แข็งแกร่งกว่าคาด ส่วนในบ้านเราปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ไตรภาคี ได้ข้อยุติเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่้า โดยปรับขึ้น 2 –16 บาท จังหวัดที่ค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดคือ ภูเก็ต 370 บาท ซึ่งยังคงเป็นระดับที่ต่้ากว่านโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ ลำดับต่อไปจะนำผลสรุปดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เบื้องต้นประเมินว่ามีโอกาสที่จะตีกลับไปให้พิจารณาใหม่ อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าวไม่น่าจะมีผลต่อประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน คาด SET INDEX ผันผวนในกรอบแคบด้วยมูลค่าซื้อขายเบาบาง ภาวะที่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง ปกติก็เป็นเรื่องยากที่จะท้าให้SET INDEX ขยับ ขึ้น และเมื่อรวมกับการที่ไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาขับเคลื่อบ น่าจะทำให้ SET INDEX อยู่ในกรอบ 1370 –1387 จุด หุ้นเด็ดได้แก่ CRC, PTTEP และ TISCO


    นอกจากนี้ยังต้องรอลุ้นธนาคารกลางพร้อมใจจบรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นปีนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายและอยู่ในระดับต่้า ช่วยหนุนให้ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เริ่มจากสหรัฐฯ ที่เงินเฟ้อเดือน ต.ค. อยู่ที่ 3.2%YOY ซึ่งสูงกว่ากรอบเป้าหมายเพียง เล็กน้อยที่ 2% เป็นปัจจัยหนุนให้ FED หยุดขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ อย่างไรก็ตามมีโอกาสสูงขึ้นที่อาจเห็น FED ยืดเวลาการตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% ไปอีกราว 2 เดือน จากเดิม คาด มี.ค. 67 ขยับเป็น พ.ค. 67 หลังมีรายงานตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดใน เดือน พ.ย. ค่อนข้างแข็งแกร่ง และอาจเป็นแรงกระตุ้นเงินเฟ้อได้


    ขณะที่จีนยังเผชิญกับความเสี่ยงเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาดและเห็นสัญญาณเงินฝืดรุนแรงขึ้น โดยล่าสุดดัชนี CPI จีน เดือน พ.ย. -0.5%YOY หดตัวสูงกว่าตลาดคาดและเดือนก่อนที่ -0.2%YOY จากแรงกดดันของสินค้ากลุ่มอาหาร ขณะที่ดัชนี PPI จีน เดือน พ.ย. -3.0%YOY ซึ่งปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 14 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เชื่อ ว่าจะยังช่วยหนุนให้ PBOC ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปเพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจจีนให้ฟื้นตัว


    นโยบายทั้งการเงินและการคลังล้วนหนุนให้ประเทศไทยดูดีในระยะถัดไป ตั้งแต่สิ้นเดือน ต.ค. จนถึงปัจจุบัน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลงทุกช่วงอายุ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิพันธบัตรรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ( ต.ค.66 ซื้อสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท / พ.ย.66 ซื้อสุทธิ 1.0 หมื่นล้านบาท ) ซึ่งประเด็นดังกล่าว อาจส่งผลให้ กนง. เริ่มใช้นโยบายทางการเงินแบบ ผ่อนคลายเร็วขึ้น แม้ กนง. จะให้ความเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันที่ 2.50% อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพใน ระยะยาว


    ดังนั้นหาก กนง. หนุนการลดดอกเบี้ยให้เกิดเร็วขึ้นกว่าที่คาด ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินตามกลไกดอกเบี้ยที่ลดลง 25 BPS. (จาก 2.50% เป็น 2.25%) มีโอกาสที่จะเป็นแรงผลัก ให้TARGET SET INDEX ปรับตัวสูงขึ้นอีก 78 จุด จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1717 จุด ส่วนหุ้นกลุ่มที่คาดว่าได้ประโยชน์ คือ กลุ่มเช่าซื้อ THANI, MTC, TIDLOR, SAWAD, ASK, AEONTS, BAM, JMT กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก KKP, TISCO กลุ่มให้ ปันผลสูง (HIGH YIELD) NER, ADVANC, SCC, TU, MAJOR.


#สรุปภาวะการลงทุน #SET #StockReview #BusinessLineandLife #ข่าวการลงทุน #ข่าวหุ้น #สรุปสภาวะตลาด