NEO โชว์ศักยภาพผู้นำสินค้าอุปโภคของไทยมุ่งสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่า

NEO โชว์ศักยภาพผู้นำสินค้าอุปโภคของไทยมุ่งสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่า ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับทุกคน ก้าวสู่บริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO  เผยว่า บริษัทฯ ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำของคนไทยที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์โดดเด่น ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งและคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล  ที่ยึดมั่นการพัฒนาและนำเสนอสินค้าอุปโภคที่เข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภค ส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพและหลากหลายครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ด้วยราคาที่เหมาะสม พร้อมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดสินค้าอุปโภคมากว่า 34 ปี โดยมีวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค” ส่งมอบนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น 

ปัจจุบัน NEO มีสินค้าอุปโภคครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม รวม 8 แบรนด์ ประกอบด้วย 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ประกอบด้วย 3 แบรนด์ ได้แก่ (1) แบรนด์ไฟน์ไลน์ เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า   ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม และผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ (2) แบรนด์สมาร์ท เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรแอนตี้แบคทีเรีย และ (3) แบรนด์โทมิ  เช่น  ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ   

2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลประกอบด้วย 4 แบรนด์ ได้แก่ (1) แบรนด์บีไนซ์ เช่น ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ  และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น (2) แบรนด์ทรอส เช่น ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้ชาย (3) แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์ เช่น ผลิตภัณฑ์แป้ง ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้หญิง และ (4) แบรนด์วีไวต์  เช่น ผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้หญิง 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ดีนี่ เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก และผลิตภัณฑ์อาบน้ำและสระผมเด็ก เป็นต้น  

บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การทำตลาดมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ สร้างสรรค์คุณสมบัติที่มีเอกลักษณ์ จึงทำให้เป็น  แบรนด์ผลิตภัณฑ์มีนวัตกรรมโดดเด่นและแตกต่าง ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ อีกทั้ง บริษัทฯ ไม่หยุดนิ่งในการมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ เพื่อนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ ผ่านการสื่อสารทางการตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายหลากหลายเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย และยังมีการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ 16 ประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศเวียดนาม ประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศเมียนมาร์

นางปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ NEO เผยว่า อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคในประเทศไทยมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกทั้งปัจจัยการก้าวเข้าสู่สังคมเมืองที่ขยายตัวและเกิดวิถีชีวิตใหม่ด้านสุขอนามัย ส่งผลให้อัตราการอุปโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่มีการเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศและขยายตัวไปสู่ภาคอุตสาหกรรมส่งผลให้อุตสาหกรรมอุปโภคเติบโต  โดยบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค ผ่าน 3 แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1) กลยุทธ์ด้านการตลาดเพื่อเพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด  2) กลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง 3) การให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยสร้างวัฒนธรรมองค์กรปลูกฝังความรู้ให้กับบุคลากร สนับสนุนกิจกรรมชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน 

นางสาวณิศรา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ NEO เผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอยู่เสมอ โดยทีมงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ NEO มีความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในธุรกิจสินค้าอุปโภค สามารถมองเทรนด์ของตลาด และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลาได้เป็นอย่างดี ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับทุกคน และช่วยเพิ่มคุณค่าให้แต่ละผลิตภัณฑ์สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเมื่อปี 2565 บริษัทฯ มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 412 รายการ (SKUs) อีกทั้งยังมีโครงการในการวิจัยและพัฒนาในการลดต้นทุนการผลิต โดยการหาตัวเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการผลิตและราคาที่เหมาะสม 

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนที่จะปรับปรุงและขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนและกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 229,296 ตันต่อปี (ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.86% ต่อปี จากเดิมที่ 142,800 ตันต่อปี ในปี 2563 อีกทั้งบริษัทฯ มีการลงทุนในอาคารและระบบคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปอัตโนมัติ (Automated Storage and Retrieval Systems: ASRS) เพื่อรองรับแผนการเติบโตในอนาคต โดยปัจจุบันสามารถจัดเก็บสินค้าได้ 35,000 พาเลท และกำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารและระบบคลังสินค้าอัตโนมัติรองรับการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปประมาณ 10,700 พาเลท โดยคาดว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ไตรมาสที่ 4 ปี 2566  

#NEO #StockReview #BusinessLineandLife #IPO #SET #ข่าวธุรกิจ #ข่าวประจำวันนี้