ตลาดหุ้นแนวโน้มดีขึ้น หลัง FED คงดอกเบี้ย

ภาวะตลาดหุ้นไทย วันพฤหัสบดี ที่3 พย66

ตลาดหุ้นแนวโน้มดีขึ้น หลัง FED คงดอกเบี้ยสรุป: ดัชนีหุ้นไทยตั้งรับไปช่วง 1385-1390 จุด รอทำกำไร 1400จุด และแนวต้านหลักของรอบ 1420 จุดประเมิน SET Index มีโอกาสผันผวนลดลง และฟื้นตัวได้มากขึ้น ส่วนหุ้น Top Pick คือ TISCO, BH และ WHA

บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส มอง ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว จากปัจจัยภายนอกที่สหรัฐมีเปิดขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 1.12 แสนล้านเหรียญ (ต่ำกว่าตลาดคาด 1.14 แสนล้านเหรียญ) และผลการประชุมนโยบายการเงินรอบเดือน พ.ย. FED ยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.50% (คงรอบที่ 2) ขณะที่ท่าทีของ FED ยังไม่ปิดโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบต่อไป หลัง GDP GROWTH สหรัฐฯ ใน 3Q66 เพิ่มขึ้น +4.9%QOQ ซึ่งขยายตัวสูงกว่าคาด รวมถึงภาคแรงงานยังแข็งแกร่ง ทั้งนี้ FED ยังคงมุ่งเป้าให้เงินเฟ้อลงมาสู่กรอบ ที่ 2% อย่างยั่งยืน พร้อมกับย้ำว่ายังไม่ได้มีการตัดสินใจกับการดำเนินนโยบายในเดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งต้องรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ

ขณะที่ FED WATCH TOOL เผยผลสำรวจพบว่ามีโอกาสสูงถึง 80% ที่ FED จะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% ในการประชุมรอบเดือน ธ.ค. และมีแนวโน้มที่จะตรึงดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปี 2567 โดยจากข้อมูลในอดีตของช่วงที่ FED ตรึงดอกเบี้ย มักจะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับดอลลาร์ที่อ่อนค่า หรือ ชะลอการแข็งค่าลง ปัจจัยดังกล่าวเชื่อว่าจะเป็นแรงผลักให้ค่าเงินบาทแข็งค่า และเป็นทิศทางที่ดีต่อ FUND FLOW ในการไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น

ในอีกมุมหนึ่งกระทรวงการคลังสหรัฐได้ประกาศแผนการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 1.12 แสนล้านดอลลาร์ในสัปดาห์หน้า (7-9 พ.ย.) ซึ่งเป็นวงเงินที่น้อยกว่าตลาดได้คาดไว้ที่ 1.14 แสนล้านดอลลาร์ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันให้ BOND YIELD สหรัฐฯ ทั้งระยะยาวและระยะสั้นปรับตัวลงแรง โดย BOND YIELD 10 ปี ย่อตัวลงเกือบ 4% สู่ระดับ 4.73% ส่วน BOND YIELD 2 ปี ลดลงราว 2.8% สู่ระดับ 4.94%ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้ระดับความกังวลดูผ่อนคลายลง ช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนบวกราว 0.5% -1.6%

ขณะที่ SET INDEX ปรับตัวลงแรงกว่า 91 จุด หรือ 6.7% ปิดที่ระดับ 1379.96 จุด จนมี VALUATION ที่เริ่มน่าสนใจทั้งในมุมของ PER, PBV และ EPS GROWTH ขณะที่ภาพใหญ่ยังมีปัจจัยหนุนทั้งในส่วนนอกประเทศและในประเทศ โดยปัจจัยหนุนส่วนนอกประเทศ BOND YIELD สหรัฐ ปรับตัวลงแรงทุกช่วงอายุโดยเฉพาะช่วงอายุ 10 ปีที่ปรับตัวลง 21 BPS. อยู่ที่ 4.73%

 ซึ่งสถิติในอดีตช่วงที่ผ่านมา ชี้ว่า BOND YIELD สหรัฐ 10 ปีแปรผกผันกับผลตอบแทน SET INDEX และ FLOW ต่างชาติเสมอ โดยช่วงที่ 1 (9 –11 ต.ค.66) BOND YIELD สหรัฐ 10 ปี ปรับตัวลง 25 BPS. SET +1.2%, FUND FLOW NET BUY +4.6 พันล้านบาท และ ช่วงที่ 2 (12 –19 ต.ค.66) BOND YIELD สหรัฐ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 40 BPS. SET -2.3%, FUND FLOW NET SELL -4.6 พันล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาช่วงที่ 1 กลุ่มหุ้นที่ขึ้นได้เด่น อาทิกลุ่มชิ้นส่วนฯ HANA KCE, ปันผลสูง LH SIRI TISCO, การเงิน SAWAD MTC TIDLOR, โรงไฟฟ้า EGCO GULF เป็นต้น

.นอกจากนี้ปัจจัยหนุนส่วนในประเทศ วานนี้ GUNKUL ประกาศซื้อหุ้นคืน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน โดยจะซื้อคืน 380 ล้านหุ้น มูลค่าไม่เกิน 1.12 พันล้านบาท (ราคาหุ้นสูงสุดไม่เกิน 2.79 บาท) ทำให้ราคาหุ้น GUNKUL วานนี้เพิ่มขึ้น +7.9% ปิดที่ระดับ 2.46 บาท ซึ่งหากพิจารณาบริษัทอื่น ๆ ที่มีการทยอยซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ช่วงต้น ต.ค.66 คือ MAJOR WP III SMD NV TACC GENCO เป็นต้น 

คาดประเด็นดังกล่าว น่าจะเป็นการบ่งชี้ว่ามีหนุนหลายๆ ตัวเริ่มลงลึกกว่าตลาดที่ควรจะเป็น ขณะที่ SET INDEX ล่าสุด มี PBV ต่ำแล้วเพียง 1.35 เท่า (ต่ำกว่าระดับ -2SD) และมีหุ้นใน SET100 ต่ำ BOOK หรือ PBV<1>

บริษัทจาก 100 บริษัท ทั้ง VALUATION ที่ถูก บวกกับน่าจะเห็นการทยอยประกาศซื้อหุ้นคืนมากขึ้นเรื่อยๆ คอยช่วยลดความผันผวนของตลาด -TISCO หุ้นเด่นมีเสน่ห์ที่ปันผล และ ROE

การคงดอกเบี้ยของ FED รอบ พ.ย. 66 และ BOND YIELD สหรัฐฯ อายุ 1 – 10 ปี ปรับตัวลงเฉลี่ยราว 16 BPS จากวันก่อนหน้า ประเมินสร้างความน่าสนใจให้กับ  แนะนำหุ้นปันผลสูงอย่าง TISCO มากขึ้น โดยคาดเงินปันผลต่อหุ้นงวด 2H66 ที่ 6 บาทต่อหุ้นเทียบเท่า DIV YIELD ราว 6% ต่อปี สูงเป็นอันดับต้นๆ ของ SET100 ด้านกำไรสุทธิ9M66 ที่ 5.5 พันล้านบาท (+1.9% YOY) คิดเป็นสัดส่วน 74% ของประมาณการทั้งปีมองว่ายังมีความเป็นไปได้

มาตรการสนับสนุน EV 3.5 ของภาครัฐ คาดเป็นปัจจัยเสริมค่าธรรมเนียมกลุ่ม BANCASSURANCE ในส่วนของการขายประกันภัยรถยนต์ เนื่องจากเบี้ยประกันภัยของรถยนต์ไฟฟ้า ยังสูงกว่ารถยนต์สันดาปแนวโน้ม ROE ที่ยืนในระดับ 16% - 17% สูงสุดในกลุ่มฯ และมากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ไม่เกิน 10% ประกอบกับฐานเงินกองทุน (BIS RATIO) ที่ 22.6% มากสุดในกลุ่มฯ พร้อมคาดการณ์ DIV YIELD ทั้งปีสูงสุดในกลุ่มฯ ยังเป็นเสน่ห์ของ TISCO


#SET #IPO #StockReview #BusinessLineandLife #ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย #ข่าวหุ้น #สรุปสภาวะตลาด