SCL ผู้นำเข้าจำหน่ายอะไหล่รถยนต์เตรียมขาย IPO 70 ล้านหุ้น พ.ย.นี้

SCL ผู้นำเข้าจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ของไทย เตรียมเสนอขาย IPO 70 ล้านหุ้น ภายในพฤศจิกายนนี้ ทุ่มเงินกว่า 55 ล้านสร้างคลังสินค้าขยายพื้นที่จัดเก็บเสร็จภายในปี 2569 และพร้อมตีตลาดอะไหล่พาหนะทุกรูปแบบรวมไปถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

คุณสกล ตั้งก่อสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอส.ซี.แอล.มอเตอร์ พาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SCL เปิดเผยว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ SCL เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวน  70,000,000 หุ้นคิดเป็น 28% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (par) 0.50 บาท ต่อหุ้น เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจ (sector) สินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) โดยมีวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อใช้ชำระคืนเงินกู้ยืม ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินงานของ บริษัทฯ ด้วยเป้าหมายในการเป็นศูนย์รวมอะไหล่รถยนต์อย่างครบวงจร 

โดยทาง บริษัทฯ จะมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น ภายในช่วงพฤศจิกายน พ.ศ. 2566  และจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนให้ SCL เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ย้ำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 58 ปี พร้อมเดินหน้าระดมทุน ด้วยเป้าหมายในการเป็นศูนย์รวมอะไหล่รถยนต์อย่างครบวงจร ด้วยการเพิ่มชนิดของผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ขายชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ทดแทนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตากำไรขั้นต้นสูง รวมถึงการขยายขอบเขตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ไปยังชิ้นส่วนอะไหล่ของยานพาหนะชนิดอื่น เช่น 

รถเพื่อการเกษตร เป็นต้น เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคโดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้

บมจ. เอส.ซี.แอล.มอเตอร์ พาร์ท เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจจัดจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ครบวงจร สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เพื่อการทดแทน (Replacement Equipment Manufacturer: REM) เพื่อทดแทนชิ้นส่วนยานยนต์ที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน โดยมีผลิตภัณฑ์อะไหล่ มากกว่า 167,000 รายการ ครอบคลุมหลากหลายค่ายรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์อะไหล่รถยนต์ภายใต้ตราสินค้าของค่ายรถยนต์ต่างๆ เช่น ISUZU, MITSUBISHI, TOYOTA, HONDA, FUSO, FORD, NISSAN และ CHEVROLET ซึ่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 88% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้จัดจำหน่ายอะไหล่ทดแทนที่ได้มาตรฐานของผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ที่ได้รับการยอมรับ เช่น AISIN, KAYABA, EXEDY, DENSO และ TOKICO ซึ่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 12% 

พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าทั่วประเทศ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่า 1,600 ราย บริษัทฯ มีโครงการในอนาคต ในการก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่พื้นที่คลังสินค้าประมาณ 2,000 ตร.ม. เพื่อรองรับการจัดเก็บสินค้าได้เพิ่มขึ้น 50% โดยคาดว่าการก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่จะเริ่มในปี 2567-2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568-2569 โดยคลังสินค้าแห่งใหม่จะช่วยสนับสนุนการให้บริการลูกค้าที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น รวมถึงรองรับปริมาณสินค้าคงเหลือที่จะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของบริษัทฯในอนาคต นี้เนื่องจากความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้า (Electronic Vehicle) นั้นสูงขึ้น ทาง บริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสต่อยอดทางธุรกิจ ได้มีการเตรียมแผนมองหาสินค้าใหม่ๆ และมีการปรึกษา หารือกับบริษัทยุโรปเกี่ยวเรื่องนี้เพื่อเตรียมแผนในปี 2567 อย่างไรก็ตาม แผนเพิ่มสินค้าใหม่ๆและขยายฐานกลุ่มลูกค้ายังรวมไปถึง การเตรียมทำเรื่องรถแทรคเตอร์เพื่อการเกษตรที่เป็นกลุ่มไฮเอนด์ในปีนี้อีกด้วย

คุณธีระยุทธ์ รัตนโพธิ์แสงศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบัญชีและการเงิน กล่าวเสริมถึง ภาพรวมผลประกอบการ 3 ปีที่ผ่านมา (ในปี 2563 – 2565) 

SCL มีรายได้จากการขายเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 5.11% อยู่ที่ 1,224.27 ล้านบาท 1,256.85 ล้านบาท และ 1,352.61 ล้านบาท ตามลำดับ มีกำไรสุทธิ 22.03 ล้านบาท 27.32 ล้านบาท  และ 39.91 ล้านบาท ตามลำดับ 

ขณะที่ ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 738.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.91% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 11.78 ล้านบาท

นอกจากนี้ โอกาสการเติบโตของยอดขายอะไหล่ต้องควบคู่ไปกับยอดขายรถกระบะและต้องเป็นรถกระบะที่มีอายุใช้งานมากกว่า 5  ปีขึ้นไปอีกด้วย โดยในปี 2565 ยอดขายรถกระบะไม่เกิน 1 ตัน เทียบเป็นสัดส่วนกับรถยนต์อื่นๆ มีรถกระบะอยู่ที่ 45.72% ตีเป็นจำนวน 388,298 คัน จากยอดขายรถยนต์รวม 849,388 คัน รวมไปถึงจำนวนรถยนต์สะสมที่มีอายุใช้งานมากกว่า 5 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-6% ต่อปี ทำให้มีความความจำเป็นต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ตามอายุและระยะทางการใช้งาน ซึ่งโดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายค่าซ่อมของรถยนต์อายุใช้งานมากกว่า 5 ปีขึ้นไป มักอยู่ที่ 12,478 บาท ซึ่งสูงกว่า รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานน้อยกว่า 5 ปีถึงร้อยละ 35 ทีเดียว

#SCL #ROADSHOW #IPO 

#FinansiaSyrus

#StockReview #BusinessLineandLife #ข่าวธุรกิจ #ข่าวประจำวัน