การร่วมทุนระหว่าง บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) และ บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) สามารถปิดดีลพื้นที่แบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) แปลงสุดท้ายในโครงการแอลฟา บางนา กม.19 (Alpha Bangna KM.19) ขนาดพื้นที่ 30,000 ตร.ม. พัฒนาเป็นศูนย์กระจายสินค้าครบวงจรให้เช่าแก่บริษัท ดีเอสวี โซลูชั่นส์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญและให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ชั้นนำแบบครบวงจรจากเดนมาร์ค
นายปธาน สมบูรณสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล
โซลูชั่น จำกัด (ALPHA) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร
กล่าวว่า "ทำเลที่ตั้งของแอลฟา บางนา กม.19 นั้น
ถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์
เนื่องจากอยู่ใกล้กรุงเทพฯ เพียง 20 กม. ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่
รถบรรทุกขนาดใหญ่เข้า-ออกสะดวก ขณะเดียวกัน
แอลฟาให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมที่หลากหลาย
เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและกิจกรรมการเพิ่มมูลค่าสินค้าภายในคลังสินค้า
พร้อมอุปกรณ์ภายในคลังสินค้าที่ได้มาตรฐาน ระบบรักษาความปลอดภัย
พื้นที่ส่วนกลางที่อำนวยความสะดวก รองรับรถขนส่งทุกประเภทการใช้งาน
และส่วนงานบริการที่พร้อมดูแลและให้บริการแก่ผู้เช่า
ส่งผลให้เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำ โดยเฉพาะ บริษัท ดีเอสวี โซลูชั่นส์
ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก"
สำหรับโครงการแอลฟา บางนา กม.19 เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม ขนาดพื้นที่รวมกว่า 80,000 ตร.ม. แบ่งเป็นการพัฒนาคลังสินค้าแบบตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) ประมาณ 60% ซึ่งล่าสุด ได้เดินหน้าลงเสาเอกที่ดินโครงการแปลงสุดท้ายสำหรับ ดีเอสวี โซลูชั่นส์ แล้ว และแบบคลังสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน (Ready-Built Warehouse) อีกราว 40% มีขนาดพื้นที่ให้เช่าเริ่มตั้งแต่ 4,000-6,000 ตร.ม. ซึ่งยังคงเปิดรับผู้เช่าที่กำลังมองหาคลังสินค้าในทำเลศักยภาพเพิ่มเติม และคาดว่าจะพร้อมดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 2/67
นอกจากนี้บริษัทได้วางเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งมูลค่าการตลาด
Market Cap 100,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2570 เป้าหมายเป็นเบอร์
1 ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรในอาเซียน
มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) 100,000 ล้านบาท
ภายในปี 2570 จากปัจจุบันอยู่ที่ 32,055.06 ล้านบาท
และรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 12% ใช้งบลงทุนในการขยายธุรกิจ และ M&A ปีละ 3,500-5,000 ล้านบาท และ 4-5 ปี ใช้งบลงทุน 20,000 ล้านบาท
โดยบริษัทวางเป้าหมายปี 2566 มีรายได้รวม 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งสัดส่วนเป็นรายได้จากในประเทศไทยประมาณ 90%
และต่างประเทศอีก 10% พร้อมตั้งงบลงทุนรวม 3,500-5,000 ล้านบาท และคาดหวังปิดดีล M&A เพิ่มเติมได้ภายในปีนี้
ส่วนเป้าหมายระยะยาวในปี 2569 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า จะมียอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ
12% โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30%