SCG Decor ยื่นไฟลิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมขาย IPO ไม่เกิน 444.1 ล้านหุ้น

SCG Decor ยื่นไฟลิ่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมขาย IPO ไม่เกิน 444.1 ล้านหุ้น

ชูความแข็งแกร่งสินค้านวัตกรรม ขยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในอาเซียนรับตลาดโต

 

SCG Decor ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เตรียมเสนอขาย IPO ไม่เกิน 444.1 ล้านหุ้น เพื่อขยายธุรกิจในอาเซียนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการดำเนินงาน ตอกย้ำความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน มียอดขายกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ ในประเทศไทย เวียดนามและฟิลิปปินส์ รวมถึงยอดขายสุขภัณฑ์อันดับ ในไทยและความเชี่ยวชาญพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุม มุ่งขยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนรับตลาดเติบโต 

 

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า SCG Decor เป็นบริษัทแกนหลักของ เอสซีจี ในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ (Decor Surfaces & Bathroom) ผ่านบริษัทย่อยและบริษัทร่วม โดยมีประสบการณ์ดำเนิงานมาแล้วกว่า50 ปี ปัจจุบันเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน ที่มีฐานผลิตกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และฐานผลิตสุขภัณฑ์ในประเทศไทย รวมถึงมีช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน ซึ่งทั้ง ประเทศดังกล่าวเป็นตลาดที่มีศักยภาพและแนวโน้มเติบโตที่ดี จากภาพรวมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและจำนวนประชากรรวมกันเกือบ 560 ล้านคน รวมถึงคาดว่าจะจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 580 ล้านคนในปี 2569 

 

ธุรกิจหลักของ SCG Decor แบ่งเป็น กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) เป็นสัดส่วนรายได้หลักประมาณ 80% โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย เช่น แบรนด์ COTTOSOSUCO, CAMPANAPRIMEPREMIER, MARIWASA, Luxurio, KIA, Impresso เป็นต้น และส่งออกกว่า 53 ประเทศ รวมถึงมีผลิตภัณฑ์กระเบื้องไวนิล SPC (Stone Plastic Composite)และกระเบื้องไวนิล LVT (Luxury Vinyl Tile) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดที่อยู่อาศัยและอาคารเชิงพาณิชย์ เนื่องจากติดตั้งง่ายและมีลวดลายธรรมชาติเสมือนจริง และยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น กาวซีเมนต์, กาวยาแนว เป็นต้น ธุรกิจสุขภัณฑ์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้เกือบ 20% และมีอัตรากำไรที่ดี โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำและอุปกรณ์ห้องน้ำในประเทศไทย เช่น แบรนด์ COTTOSOSUCO เป็นต้น และส่งออกกว่า 29 ประเทศ และธุรกิจอื่นๆ

 

บริษัทฯ มียอดขายกระเบื้องเป็นอันดับ ในประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในปี 2564 คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละประเทศ ร้อยละ 33.026.4 และ 16.8 ตามลำดับ และมียอดขายสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 32.8 อีกทั้งเป็นหนึ่งในผู้นำสุขภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart & Hygiene) ในประเทศไทย  

 

ทั้งนี้ ประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยปี 2564 มีมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์รวมกันกว่า 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 180,000 ล้านบาท) และคาดว่าในปี 2565 – 2569 ภาพรวมอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียจะมีอัตราการเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะสูงกว่าอัตราการเติบโตในประเทศไทย โดยมีปัจจัยจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของเมืองและที่อยู่อาศัย (อ้างอิงจาก Euromonitor)

จุดแข็งของ SCG Decor คือมีแบรนด์สินค้าที่น่าเชื่อถือ คุณภาพเป็นที่ยอมรับ มีสินค้าครอบคลุมลูกค้าทุกระดับโดยมีผู้เชี่ยวชาญการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์กว่า 250 คนทั่วอาเซียน ร่วมกันพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ อาทิ “Hygienic Tile” กระเบื้องยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่าร้อยละ 90 และมี Silver Nano ปล่อยประจุบวกเพื่อกจัดเชื้อ"AIR ION" กระเบื้องฟอกอากาศ ที่สามารถดักจับฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 89 % พร้อมเพิ่มมวลอากาศสดชื่น ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ใช้ไฟฟ้า“Anti-Slip Tile” กระเบื้องกันลื่น, โถสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำอัจฉริยะ ฯลฯ ร้อมทั้งได้พัฒนากระบวนการผลิแบบกึ่งอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AIมาใช้ควบคุมการผลิตภายในโรงงาน นอกจากนี้ยังมีช่องทางจัดจำหน่ายในระดับภูมิภาคผ่านตัวแทนจำหน่ายในไทยกว่า 592 รายต่างประเทศ 277 ราย นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนจำหน่ายต่อ (Sub-distributors) เป็นจำนวนมากกว่า 10,000 รายทั่วโลก รวมถึงมีร้านค้าปลีกของตนเอง” นายนำพล กล่าว

 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG Decor กล่าวว่า ได้วางแผนมุ่งยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดอาเซียที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพื่อเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ที่สร้างแรงบันดาลใจและพื้นที่แห่งความสุข ด้วยนวัตกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ภายใต้ กลยุทธ์หลัก ได้แก่

 

1) ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์จากประเทศไทยสู่ผู้นำในอาเซียน โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ใหม่และสินค้านวัตกรรม เช่น สินค้ากลุ่ม COTTO Smart Toilet นวัตกรรมตอบโจทย์ด้านสุขภาพและอนามัย ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19, พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ Quil เพื่อขยายตลาดระดับพรีเมียมมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
2) ต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในประเทศไทยสู่ผู้นำในภูมิภาคอาเซียน จากการใช้ความแข็งแกร่งทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงฐานการผลิตที่ทันสมัย พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะสินค้านวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ และขยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในกลุ่มผลิตภัณฑ์กระเบื้องไวนิล SPC และกระเบื้องไวนิล LVT ในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย รวมถึงขยายช่องทางจัดจำหน่าย COTTO LiFE ในเมืองหลักต่างๆ และขยายคลังเซรามิคในเมืองหลักและเมืองรองของประเทศไทยที่มีศักยภาพเติบโตสูง
3) ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องตอกย้ำผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจรในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ โดยจะใช้โซลูชันแบบครบวงจรจากการผนึกกำลังของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Total Solution 
4) บริหารห่วงโซ่อุปทานทั้งด้านการผลิตและการจัดหาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยผสานความร่วมมือระหว่างฐานการผลิตแต่ละประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น เวียดนามที่ผลิตกระเบื้องเซรามิกในต้นทุนต่ำและมีคุณภาพดี, ใช้ฐานการผลิตในไทยเพื่อผลิตสุขภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม เป็นต้น รวมถึงเพิ่มการซอร์สซิ่งกระเบื้องจากผู้ผลิตภายนอกเป็น 20 ล้านตารางเมตรต่อปีภายในปี 2567 จากปัจจุบัน 12 ล้านตารางเมตรต่อปี และขยายไปยังกลุ่มสุขภัณฑ์และอื่นๆ 
5) เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยมาตรฐานระดับโลกโดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาร์เซลล์จากร้อยละ เป็นร้อยละ 15 ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดในโรงงานภายในปี 2573 และเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 รวมถึงเพิ่มรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice เป็นร้อยละ 80 จากร้อยละ 70 ของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ภายในปี 2573

 

ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 30,253.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% จากปี 2564 ที่มีรายได้จากการขาย 25,937.4 ล้านบาท จากยอดขายและปริมาณขายสินค้าของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซียและธุรกิจสุขภัณฑ์เพิ่มขึ้น ส่วนไตรมาส